- Published Date: 04/01/2022
- by: UNDP
โบกรถไอติมทันแบบไม่ต้องนัดล่วงหน้า! กับนวัตกรรมลดความเหลื่อมล้ำโดยเยาวชนไทย
“หาบเร่-แผงลอย” เป็นประเด็นใหญ่ในสังคมไทยที่ถูกพูดถึงกันอย่างต่อเนื่อง เพราะหลายครั้งที่ผู้ประกอบอาชีพนี้รุกล้ำพื้นที่สาธารณะ และสร้างมลพิษในเมืองไม่ว่าพวกเขาจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม แต่ทีม Carter กลับมองว่าบริการเหล่านี้ล่ะที่ช่วยลดความเหลื่อมล้ำในสังคมได้ พวกเขาเห็นอะไรจากตรงนี้ ปัจจัยไหนที่จะช่วยลดช่องว่างทางสังคมได้อย่างยั่งยืน?
เรามีนัดพูดคุยกับ แซก–ศุภวุฒิ แพร่แสงเอี่ยม เยาวชนตัวแทนของทีม Carter เกี่ยวกับโปรเจกต์ของพวกเขาในโครงการ Youth Co:Lab 2021 ที่เพิ่งจะผ่านเข้ารอบ 5 ทีมสุดท้ายและมีโอกาสได้พัฒนาเรื่องที่สนใจให้เป็นจริง เขาเล่าว่า Carter มาจากคำว่า Cart ที่แปลว่ารถเข็นโดยเติม er ต่อท้ายเพื่อให้เห็นว่ามีมนุษย์เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดกิจกรรมนั้น แซกบอกว่าเขากับทีมจะทำแอปพลิเคชันขึ้นมาเพื่อใช้เป็นเครื่องมือทางการตลาด เพื่อเพิ่มยอดขายและเพิ่มช่องทางการเข้าถึงระหว่างผู้ขายกับผู้ซื้อให้มากขึ้น
ในขณะที่คนกลุ่มหนึ่งมองว่าร้านค้าแบบหาบเร่แผงลอยคือปัญหาเรื้อรัง แต่ชาวต่างชาติกลับมองว่าเมืองไทยมีอัตลักษณ์ทางอาหารที่หลากหลายและเด่นชัด โดยเฉพาะสตรีทฟู้ดที่ถูกอกถูกใจนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก ในทางสังคมศาสตร์ แซกมองว่าร้านอาหารประเภทนี้จำหน่ายอาหารในราคาถูกและช่วยให้ผู้ที่มีรายได้น้อยสามารถอิ่มท้องโดยไม่ต้องจ่ายเงินเยอะเกินความจำเป็น ในอีกทางผู้ขายก็ไม่ต้องลงทุนเยอะเพื่อมีหน้าร้านเป็นของตัวเอง ซึ่งคน 2 กลุ่มนี้กำลังเกื้อกูลซึ่งกันและกันอยู่ หากวันหนึ่งสินค้าแบบหาบเร่-แผงลอยหายไป ก็คงมีผู้ได้รับผลกระทบโดยตรงอย่างแน่นอน
แต่ทีม Carter ก็ไม่ได้เพิกเฉยต่อประเด็นพื้นที่สาธารณะ แซกอธิบายว่าภารกิจของทีมมีอยู่ 3 ประเด็นหลัก คือสร้างการมีส่วนร่วมของทุกคน ร้านค้าต้องสะอาด ปลอดภัย มีมาตรฐาน และผู้ขายต้องก้าวทันโลก เพราะบริการส่งอาหารแบบเดลิเวอรี่มักผูกติดร้านค้าซึ่งมีที่ตั้งเป็นหลักแหล่ง ทำให้ผู้ขายแบบหาบเร่-แผงลอยหมดสิทธิเข้าระบบและต้องขายในวิถีเดิมต่อไป ปัจจุบันกรุงเทพฯ อนุญาตให้ร้านค้าเหล่านี้ขายในตลาดและพื้นที่ผ่อนผัน แต่ขายเร่ขายไปเรื่อยก็ยังคงมีประเด็นอยู่ตลอดอย่างที่เห็นกรณีรถไอศครีมที่ถูกจับและปรับไปก่อนหน้านี้ แซกมองว่าพวกเขาเป็นแรงงานนอกระบบ ไม่ได้รับการดูแล ขึ้นทะเบียนผู้ค้าไม่ได้ และถูกกำจัดให้หมดโดยไม่เคยมีกระบวนการมีส่วนร่วม ผู้มีอำนาจรัฐอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีคนจนเมืองที่เฝ้ารอการมาถึงของร้านค้าประเภทนี้อยู่ทุกวัน
Carter จึงเป็นแอปพลิเคชันที่แมตช์กลุ่มเปราะบางทางสังคมทั้ง 2 นี้ให้มาเจอกันได้ง่ายขึ้น หลักการทำงานง่ายๆ ก็คือเป็นแพลตฟอร์มติดตามร้านค้าหาบเร่แผงลอยว่าตอนนี้เดินทางถึงไหนแล้ว หรือมีจุดขายตรงไหนบ้างในหนึ่งสัปดาห์ ยกตัวอย่างเช่น ลูกค้าสามารถสั่งจองหรือซื้อสินค้าได้ล่วงหน้า หรือดักรอร้านค้าเมื่อเห็นในแผนที่ว่ากำลังจะมาถึงจุดหมาย เขามองว่าเราควรใช้โอกาสนี้ที่ประชาชนมีความรู้เรื่องดิจิทัลเพิ่มมากขึ้นจากการใช้โครงการรัฐต่าง ๆ มาสร้างให้เกิดประโยชน์ ปัญหาที่ทีมกังวลจึงไม่ใช่เรื่องการเข้าถึงเทคโนโลยี แต่คือความยั่งยืนของแอปพลิเคชัน ซึ่งมีผู้ใช้เป็นตัวแปรสำคัญ พวกเขาจึงตั้งเป้าหมายย่อยเพื่อเริ่มทดลองใช้นวัตกรรมนี้ และประชาสัมพันธ์ให้คนทั่วไปได้เห็นถึงคุณค่าของร้านหาบเร่แผงลอยในเวลาเดียวกัน
สมาชิกในทีมทั้ง 5 คนจะแบ่งหน้าที่และขอบเขตในการทำงานอย่างชัดเจน โดยมีทั้งฝั่งพัฒนาแอปพลิเคชัน มาร์เก็ตติ้ง และฝั่งที่ทำเรื่องประเด็นสังคมซึ่งมีการประสานความร่วมมือไปกับหน่วยงาน NGO บางแห่งเพื่อขอข้อมูลและองค์ความรู้ที่สำคัญ แซกบอกกับทีมเสมอว่าถ้าไม่ได้เข้ามาในโครงการ Youth Co:Lab ก็คงไม่มีทางที่โปรเจกต์จะเป็นรูปเป็นร่างได้ขนาดนี้ เพราะจากแต่ก่อนที่มุ่งเน้นทำแต่ประเด็นสังคมเพียงอย่างเดียว แต่หลังจากผ่านการเทรนนิ่งมาแล้ว ทำให้เขาเข้าใจการสร้างธุรกิจทางสังคมที่ยั่งยืนซึ่งตอบโจทย์ความต้องการของทีมมาก ๆ เพราะพวกเขาเองก็ไม่อยากทิ้งใครไว้ข้างหลัง และโครงการ Youth Co:Lab ยังเปรียบเสมือนพี่เลี้ยงที่คอยให้คำแนะนำตลอดการทำกิจกรรม
เมื่อถามถึงตัวชี้วัดและแผนการทำงานในอนาคต แซกยอมรับว่าภาพทั้ง 2 อย่างยังไม่ชัดเจน เพราะเรื่องหาบเร่แผงลอยเป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อนและเกี่ยวข้องกับคนจำนวนมาก พวกเขากำหนดขอบเขตในการดำเนินงานออกเป็น 4 เฟสด้วยกัน โดยช่วงแรกจะเน้นไปที่การสร้างระบบที่ง่ายต่อการใช้และประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้ให้ได้มากที่สุด เขายังไม่สามารถตอบได้อย่างแน่ใจว่าผลตอบรับในระยะยาวจะเป็นอย่างไร แต่ก็จะมี KPI ของกลุ่มกำหนดไว้ว่าควรได้ร้านค้าและผู้ใช้เพิ่มขึ้นเท่าไหร่ในแต่ละเดือน ซึ่งเรื่องแบบนี้ไม่ได้ทำเสร็จในทีเดียว ยิ่งเป็นโปรเจกต์ที่ต้องการสร้างความเปลี่ยนแปลงในสังคมด้วยแล้ว การปรับเปลี่ยนแผนก็เป็นเรื่องธรรมดา
ในฐานะที่พวกเขาเป็นแค่นักศึกษาชั้นปีที่ 1 ซึ่งมาพูดถึงประเด็นที่ใหญ่มาก แซกมองว่าคงจะหาทีมแบบนี้ที่ไหนไม่ได้อีกแล้วที่ทุกคนมองเห็นคุณค่าของการมีส่วนร่วมในสังคม นี่ไม่ใช่การทำสตาร์ทอัพธุรกิจเพื่อหากำไร แต่คือธุรกิจเพื่อสังคมที่กำไรโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังต่างหาก ทุกคนตั้งเป้าหมายไปไกลกว่านั้น สิ่งที่พวกเขาลงมือทำอยู่ตอนนี้คือการสร้าง Prototype และคอนเท้นท์ที่จะทยอยปล่อยออกมา รวมถึงการหา Worst Case Scenario ต่างๆ เพื่อคาดการณ์ปัญหาก่อนที่จะเกิดขึ้นจริง เขาบอกว่าพื้นที่ในอุดมคติจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีกระบวนการมีส่วนร่วมเท่านั้น ภาพยูโทเปียคือทุกคนคุยกันได้ และอยู่ร่วมกันได้อย่างเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน
ติดตามการทำงานของทีม Carter ได้ที่เฟซบุ๊ก Carter – เเอปพลิเคชันหาบเร่เเผงลอย