- Published Date: 08/11/2019
- by: UNDP
หลบไม่ได้ แต่ลดความเสี่ยงได้ ‘สึนามิ’ อาจไม่ใช่ภัยที่น่ากลัวอีกต่อไป
หลบไม่ได้ แต่ลดความเสี่ยงได้ ‘สึนามิ’ อาจไม่ใช่ภัยที่น่ากลัวอีกต่อไป
เนื่องในวันตระหนักรู้ภัยสึนามิโลก ( World Tsunami Awareness Day) ที่ 5 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ทำให้เราหวนนึกไปถึงเวลาเมื่อ 15 ปีก่อนที่สึนามิซัดเข้าชายฝั่งทะเลใต้ของประเทศไทย เมื่อ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2547 เกิดแผ่นดินไหวขนาด 9.3 ริกเตอร์ที่เกาะสุมาตรา คลื่นยักษ์ซัดเข้าชายฝั่งทะเลอันดามัน คร่าชีวิตผู้คนมากถึง 5,365 คน หลังจากประสบการณ์ครั้งนั้น ผู้คนทั่วโลกกลับมาทบทวนว่า เราจะสามารถเตรียมพร้อมรับมือกับสึนามิ เพื่อลดระดับความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นอีกครั้งได้อย่างไร ?
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา มีการคิดค้นวิธีเตือนภัย ไม่ว่าจะเป็นเครื่องมือวัดคลื่นแผ่นดินไหว ระบบกำหนดตำแหน่งบนโลกหรือ GPS หรือมาตรวัดระดับน้ำเพื่อตรวจหาสึนามิ และคาดเดาวันที่อาจเกิดขึ้นได้ รวมถึงมีระบบแจ้งเตือนคลื่นสึนามิ จากศูนย์เตือนภัยจากคลื่นสึนามิในแปซิฟิก (Pacific Tsunami Warning Center – PTWC) จะคอยติดตามระดับน้ำในทะเลเพื่อดูการก่อตัวของคลื่นในทะเล ถ้าพบว่าเป็นคลื่นที่มีระดับการทำลายล้างสูงก็จะกระจายสัญญาณเตือนภัยไปยังประเทศต่างๆ เพื่อให้เตรียมรับมือกับคลื่นสึนามิได้
นอกจากนี้ ประเทศที่ขึ้นชื่อว่ามีระบบแจ้งเตือนสึนามิที่เจ๋งที่สุดในโลกอย่าง ‘ญี่ปุ่น’ สร้างระบบเตือนภัยจากอุปกรณ์ตรวจวัดสึนามิ (DART) เพื่อการหาจุดกำเนิด หรือ แหล่งที่มา และการจำลองคลื่นสึนามินอกชายฝั่งห่างไกล พร้อมมีศูนย์อุตุนิยมวิทยาของญี่ปุ่น ( The Japanese Meteorological Agency: JMA) คอยรับผิดชอบการสังเกตการณ์การเตือนภัยแผ่นดินไหว คลื่นสึนามิ และการปะทุของภูเขาไฟ โดยติดตั้งจุดตรวจวัดความรุนแรงของแผ่นดินไหว 627 จุดทั่วประเทศ JMA มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงโตเกียว และมีสำนักงาน 6 แห่งในระดับภูมิภาค ได้แก่ เมืองซับโปโร เซนได โตเกียว โอซาก้า ฟูกูโอกา และ นาฮา ยิ่งไปกว่านั้น ญี่ปุ่นยังให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วม แม้แต่นักเรียนชั้นประถมก็ต้องฝึกซ้อมหนีภัยและเรียนรู้เกี่ยวกับภัยอันตรายของสึนามิ Hitoshi Kozaki ผู้อำนวยการฝ่ายองค์การระหว่างประเทศจากสถานทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย กล่าวว่า
“สิ่งสำคัญที่สุดในการลดความเสี่ยงที่เกิดจากภัยพิบัติ คือการสร้างความเข้าใจถึงอันตรายของสึนามิ รวมถึงการรับมือที่เหมาะสมแก่ประชาชนโดยเฉพาะเด็กๆ”
สำหรับประเทศไทยเอง ที่เคยได้รับผลกระทบรุนแรงจากเหตุการณ์สึนามิ ก็ไม่ได้นิ่งเฉย มีระบบเตือนภัยคลื่นสึนามิ ซึ่งประกอบไปด้วยฐานเก็บบันทึกข้อมูลใต้ทะเลลึก และทุ่นลอยส่งสัญญาณผิวทะเล 2 แห่ง และมีการใช้คอมพิวเตอร์จำลองรูปแบบเพื่อทำนายแนวโน้มของการเกิดคลื่นสึนามิจากข้อมูลที่ได้มา แล้วแจ้งให้ศูนย์เตือนภัยตามชายฝั่งทะเลต่างๆ ทราบ เพื่อส่งสัญญาณเตือนภัยให้ประชาชนในท้องถิ่นเตรียมตัวอพยพหนีภัยได้ทันเวลา นอกจากนี้ สำนักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) คือหนึ่งองค์กรที่ไม่ละเลยเรื่องนี้ เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดความเสียหายอันรุนแรง จึงดำเนินโครงการระดับภูมิภาคเอชีย-แปซิฟิกใน 18 ประเทศ ภายใต้การสนับสนุนจากรัฐบาลญี่ปุ่น ในการพัฒนาแนวทางอพยพหนีภัยสึนามิในโรงเรียนกว่า 90 แห่งทั่วภูมิภาค รวมถึงประเทศไทยที่มีโรงเรียนนำร่องทั้งหมด 5 แห่งในจังหวัดพังงา ซึ่งเป็นจังหวัดที่เคยได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุด
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับของระบบเตือนภัยสึนามิในญี่ปุ่นที่ Centre for Public Impact .
โรงเรียนส่วนใหญ่ไม่มีแผนการเตรียมพร้อมหรือเส้นทางอพยพที่ปลอดภัย จึงต้องเริ่มต้นจากการทำงานร่วมกับคุณครูและเจ้าหน้าที่ในโรงเรียน ร่วมกับกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย สภากาชาดไทย สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพังงา และกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อวิเคราะห์ความเสี่ยงของแต่ละโรงเรียน พร้อมทั้งปรับแผนการเตรียมพร้อมรับมือและการอพยพอย่างปลอดภัย อีกทั้งให้ความรู้และฝึกอบรมคุณครู เพื่อให้สามารถช่วยเหลือและฝึกอบรมนักเรียนในการเตรียมความพร้อมรับมือสึนามิได้อย่างเหมาะสม ที่สำคัญคือไม่มองข้ามนักเรียนผู้มีความพิการทางร่างกายที่ต้องดูแลเป็นพิเศษเมื่อมีการอพยพ ตามแนวคิดที่ว่าต้องไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง นอกจากนี้ นักเรียนยังจะได้ฝึกขั้นตอนปฏิบัติ CPR หรือวิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้น โดยมีการซ้อมอพยพหนีภัยอยู่เสมอ
ที่มา
https://medium.com/undp-in-asia-and-the-pacific/13-years-later-is-thailand-better-prepared-for-tsunamis-ff1cc45dffdf
https://www.asia-pacific.undp.org/content/rbap/en/home/presscenter/articles/2018/01/12/phang-nga-schools-hold-evacuation-drills-for-tsunami-preparedness.html
https://www.telegraph.co.uk/news/worldnews/asia/japan/9920042/Tsunami-two-years-on-Japan-finally-gets-warning-system-that-would-have-saved-hundreds-of-lives.html