- Published Date: 29/11/2021
- by: UNDP
อัตลักษณ์ทับซ้อนกับเยาวชนข้ามเพศ
“ผมสู้ค่ารถไม่ไหวครับ ถ้าต้องไปกลับบ่อย ๆ ก็คงหนักเหมือนกัน” ‘ภูมิ’ ชายข้ามเพศอายุ 22 ปีเล่าให้ฟัง ภูมิเริ่มเข้ารับฮอร์โมนส์ตั้งแต่อายุ 18 ปีโดยไม่มีการขัดขวางจากที่บ้านแต่อย่างใด แต่ที่ไม่มีการขัดขวาง ไม่ใช่เพราะว่าภูมิมีครอบครัวที่อบอุ่น แต่เป็นเพราะภูมิไม่มีครอบครัวเลยต่างหาก ทั้งพ่อและแม่ของเขาแยกทางกัน พ่อส่งภูมิไปต่างจังหวัดเพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะกับความตึงเครียดในฐานะลูกเลี้ยงกับครอบครัวใหม่ นั่นคือสาเหตุว่าทำไมภูมิจึง ‘ไม่ได้มีครอบครัว’ แต่อย่างใด
.
การกระจายตัวของคลินิกสุขภาพทางเพศที่ให้บริการการข้ามเพศที่ไม่เพียงพอนับว่าเป็นอีกปัญหาหนึ่งที่สะท้อนถึงอัตลักษณ์ทับซ้อนในหมู่คนข้ามเพศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเยาวชนข้ามเพศ เนื่องจากว่าไม่ได้เป็นผู้หารายได้ด้วยตัวเอง ฉะนั้น เมื่อจะรับฮอร์โมนส์ก็ต้องทั้งขอความยินยอม ทั้งตกลงเรื่องค่าใช้จ่ายที่ผู้ปกครองจะต้องแบกรับในอนาคตอีกจนกว่าจะสามารถหาเลี้ยงตนเองได้ ยิ่งประจวบกับต้องจ่ายค่าเดินทาง ยิ่งเรียกว่าทับทวีปัญหายิ่งขึ้นไปอีก
.
เนื่องจากสัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์แห่งการรับรู้ตัวตนคนข้ามเพศ (Transgender Awareness Week) เพจ GendersMatter ร่วมกันกับ UNDP Thailand จึงขอร่วมมือกัน ขจัดความเข้าใจผิดที่มีต่อคนข้ามเพศ และวันนี้ หัวข้อที่จะพูดถึงก็คือ “อัตลักษณ์ทับซ้อน และ เยาวชนคนข้ามเพศ”
.
#Intersectionality – หรือ #อัตลักษณ์ทับซ้อน คือการที่คนคนหนึ่งอยู่กับการกดทับในสังคมมากกว่าหนึ่งอย่าง เช่น เป็นบุคคลข้ามเพศที่ยากจน (ทำให้จากที่ยิ่งเข้าถึงการรับบริการทางสุขภาพด้านการข้ามเพศยากอยู่แล้ว ก็ยิ่งยากเข้าไปอีก เพราะขาดทุนทรัพย์และแหล่งรายได้ที่มั่นคง) หรืออยู่ในพื้นที่ห่างไกล (เพราะทุกการเดินทาง ถือเป็นค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น) นอกจากนี้ยังมีเรื่องของการขาดการศึกษา ชาติพันธุ์ที่โดนกดทับ และศาสนาที่ไม่ยอมรับบางอัตลักษณ์ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นอัตลักษณ์ทับซ้อนทั้งสิ้น
.
#แล้วสำคัญอย่างไร – ปกติ เวลารับสื่อที่มีการปรากฏตัวของคนข้ามเพศในประเทศไทย ภาพที่ถูกฉายออกมามักจะเป็นกลุ่มบุคคลที่เป็นชนชั้นกลางทั้งสิ้น แม้คนเหล่านี้จะมีอัตลักษณ์ทับซ้อนแบบอื่น แต่ก็ห่างไกลกับความยากจนและการเข้าถึงการรับบริการทางการแพทย์ที่ยากลำบาก เมื่อเทียบกับคนข้ามเพศที่อยู่นอกเขตเมืองใหญ่ อย่างไรก็ตาม เมื่อไม่มีการนำเสนอภาพที่แตกต่างจากชนชั้นกลาง หลายครั้งคนข้ามเพศอื่นก็ถูกมองว่าแปลกแยกจากความคาดหวังของสังคม
.
ฉะนั้น จึงมีคำถามตามมา ไม่ว่าจะเป็น “ทำไมเป็นทรานส์ แต่ไม่เทกฮอร์โมนส์” หรือ “ปกติ คนข้ามเพศกันเรียนเก่งอยู่แล้ว ทำไมเธอถึงเรียนไม่เก่งเลยล่ะ” คำถามเหล่านี้ล้วนมาจากการเหมารวมที่เกิดจากการนำเสนอของสื่อด้านเดียวเท่านั้น คนข้ามเพศก็คือมนุษย์คนหนึ่ง แน่นอนว่าสามารถตกไปอยู่ในสภาวะที่ยากจน ลำบาก ไร้การศึกษา ไร้อำนาจทางเศรษฐกิจ เป็นชาติพันธ์ หรืออยู่ในศาสนาที่กดทับอัตลักษณ์ของคนข้ามเพศได้เช่นเดียวกันกับมนุษย์คนอื่น ๆ ทั่วไป
.
นี่จึงเป็นสาเหตุว่า ทำไมเวลาทำความเข้าใจกับคนข้ามเพศจึงจำเป็นต้องทำความเข้าใจในแง่มุมอื่น ๆ ที่ไม่ใช่แค่เกี่ยวกับอัตลักษณ์ทางเพศเท่านั้น เพราะทุกเรื่องต่างก็เชื่อมโยงกันไปหมด แม้การเป็นคนข้ามเพศในพื้นที่ที่ขาดแคลนทั้งความเข้าใจเรื่องความหลากหลายทางเพศและบริการสุขภาพเพศจะเป็นปัญหาหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่สำคัญเท่าปัญหาอื่นอย่างเรื่องปากท้องหรือการบกพร่องการเข้าถึงแหล่งการศึกษาที่มีคุณภาพแต่อย่างใด
.
อย่างกรณีของ เด็กข้ามเพศ ก็ถือเป็นอีกอัตลักษณ์ทับซ้อนหนึ่งด้วยตัวเอง เพราะเป็นเรื่องปกติที่เยาวชนจะไม่มีอำนาจทางเศรษฐกิจด้วยตนเอง เนื่องจากยังอยู่ในการดูแลและควบคุมของพ่อแม่อยู่ และ การข้ามเพศในประเทศที่เรื่องเหล่านี้ไม่ถูกให้ความสำคัญจนเป็นสวัสดิการของรัฐก็มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง ฉะนั้น การเป็นเด็กข้ามเพศจึงมีแนวโน้มที่จะมีปัญหาอย่างอื่นตามมา (เช่น ปัญหาด้านสุขภาพจิต) เนื่องจากสภาวะดังกล่าวได้
.
จึงเป็นเรื่องที่ดีกว่า หากเราทุกคน
จะใส่ใจและฟังกันให้มากขึ้น