- Published Date: 25/03/2021
- by: UNDP
Mindventure ตามหาตัวตน ความฝัน ความสัมพันธ์ที่สูญหายผ่านการสร้างพื้นที่รับฟัง
ปฏิเสธไม่ได้ว่าความรู้สึกสับสนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไม่ช่วงใดก็ช่วงหนึ่ง
ความรู้สึกสับสนที่ว่าบ้างก็เกี่ยวพันกับการเรียน บ้างก็การทำงาน บ้างก็เกี่ยวโยงกับชีวิตและความสัมพันธ์ สิ่งที่คาดคิดไว้ว่าน่าจะทำให้มีความสุขกลับไปไม่สุดแบบที่ควร
ความรู้สึกทำนองนี้เกิดขึ้นกับแกงส้ม-ชนากานต์ ขจรเสรี เช่นกัน เมื่อย้อนไปในวัยมัธยมศึกษาปีที่หกในปี 2016 ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของอะไรหลายๆ อย่าง
“เราไม่ชอบตัวเอง เราว่าสิ่งที่เราเป็นมันไม่โอเค เราไม่เหมือนคนอื่น เราไม่ดีพอ คนไม่ยอมรับ เราก็เลยเงียบๆ เก็บตัวและไม่ค่อยได้เล่าความรู้สึกของตัวเองให้ใครฟัง” เธอนึกย้อนไปในวันวานก่อนที่จะพบจุดเปลี่ยนของตัวเองเป็นการเข้าร่วมค่ายที่ใช้ศาสตร์การฟังเป็นกระบวนการหลัก หลังจบกระบวนการเธอพบตัวเองเป็นคนที่อยากยอมรับตัวเองได้ “เราเลยรู้ว่าการฟังเป็นของขวัญที่ไม่ต้องซื้อ แต่แค่มีทักษะ แล้วถ้าการฟังช่วยเราได้มันน่าจะช่วยคนอื่นๆ ได้เหมือนกัน”
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา แกงส้มอยากส่งต่อประสบการณ์ผ่านการทำค่ายที่มีแก่นหลักใกล้เคียงกันโดยใช้การฟังเป็นเครื่องมือ ในช่วงมหาวิทยาลัยเธอ เพื่อนๆ และน้องสาวจัดค่าย Gen Mind ที่เน้นส่งเสริมให้เด็กมัธยมรู้จักดูแลจิตใจตัวเอง ต่อเนื่องมาจนถึงการก่อตั้งชมรมในมหาวิทยาลัยที่เป็นพื้นที่ให้เพื่อนรับฟังเพื่อน และเมื่อเธอจบจากรั้วมหาวิทยาลัยไอเดียเรื่องการเข้าใจตัวเองจากภายในยิ่งเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้เธอเริ่มปลุกปั้นธุรกิจเพื่อสังคมมาในช่วงตุลาคม 2019 ชื่อ Mindventure ก่อนที่จะพัฒนาต่อยอดใน Youth Co:Lab ร่วมกับน้องสาว น้ำหวาน-กันตพร ขจรเสรี และเพื่อนๆ ที่เข้ามาช่วยสนับสนุนระหว่างทาง นอกจากนี้ยังมีอาจารย์จากคณะจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์อีก 3 ท่านที่คอยให้คำปรึกษาเพื่อให้โครงการนี้ตอบโจทย์ผู้เข้าร่วมทั้งในเชิงหลักการและการปฏิบัติจริง
จากความชอบสู่อาชีพ
พอจะเอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้ แกงส้มจึงสะสมองค์ความรู้เพิ่มเติม เธอเป็นคนไทยรุ่นแรกที่ได้รับการรับรองสอน Search Inside Yourself หลักสูตรพัฒนาผู้นำ สติ และความฉลาดทางอารมณ์ที่พัฒนาขึ้นโดย Google ส่วนน้ำหวานก็เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องการเข้าใจตัวเองและจิตบำบัด อย่างนพลักษณ์ (Enneagram) และซาเทียร์ (Satir)เพื่อที่จะมีความรู้ไปออกแบบหลักสูตรให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย
หากเปรียบความเข้มข้นของภาวะทางอารมณ์เป็นกราฟหนึ่งแท่ง ให้ด้านซ้ายสุดคืออาการซึมเศร้าส่วนด้านขวาสุดคือการมีความสุขที่สุด กลุ่มคนที่ Mindventure มุ่งทำกระบวนการด้วยคือกลุ่มคนที่อยู่ตรงช่วงกลางๆ ไปจนถึงขวาสุด
“เราอยากช่วยป้องกันและส่งเสริมให้พวกเขา[มีสุขภาพจิต]ดีขึ้น เพราะ informal health and self care ในประเทศไทยยังมีช่องว่างอยู่ สิ่งที่เราทำจึงคือการลดความเสี่ยงของการเป็นซ้ายสุด” แกงส้มอธิบายการทำงานของ Mindventure ทั้งนี้ก่อนเริ่มกระบวนการทางทีมจะมีแบบประเมินจากกรมสุขภาพจิตให้ทำ หากพบว่าผู้เข้าร่วมมีสัญญาณหรือมีแนวโน้มเสี่ยงต่อการเป็นโรคซึมเศร้าก็จะแนะนำช่องทางการเข้าถึงผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางอีกต่อหนึ่ง
“สิ่งที่เราทำมองว่าเป็นการป้องกัน เราทาร์เก็ตไปที่ปัญหาเลย เราหาเครื่องมือสร้างปัจจัยส่งเสริมให้ใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้น ให้ความรู้ว่าจริงๆ แล้วไฟของคนเรามาจากไหน ไฟแบบไหนถึงจะยั่งยืน เราพากลับไปป้องกันที่ต้นเหตุเลย”
จิตใจที่ดีของทุกคน
ที่ผ่านกลุ่มเป้าหมาย Mindventure มุ่งเน้นมาที่เด็กมัธยมโดยตลอด แม้จะมีผู้ใหญ่มาถามอยากเข้าร่วมแต่ด้วยบริบทที่ต่างกันจึงไม่ได้จัดรวมกลุ่มในทันที ทั้งนี้ทุกวันนี้ทางทีมสนใจผู้เข้าร่วมที่หลากหลายมากขึ้นเพราะความรู้สึกสับสนอาจไม่ได้เกิดโดยมีช่วงอายุกำกับเสมอไป
“คนที่มีบาดแผลจากเรื่องนี้อาจไม่ได้จำเป็นต้องจำกัดอายุไหม อายุ 25, 35 หรือ 45 ก็ยังอาจประสบเรื่องนี้ได้ เราเลยพยายามระเบิดกล่องคิดเดิมๆ แล้วดูว่ามีความเป็นไปได้แบบไหนอีกบ้าง” น้ำหวานเล่าต่อว่าสาเหตุของความรู้สึกสูญหายนั้นอาจมาจากกิจวัตรประจำวันในชีวิต
“คนเราแต่ละวันตื่นมาก็ไปเรียน ทำตามครู พอวนลูปแบบเดิมเยอะๆ ก็หมดแรงบันดาลใจ คล้ายกันกับคนทำงานที่ตื่นมา กินข้าว ทำงาน กลับบ้านกินข้าว ดูซีรีส์ และนอน” น้ำหวานอธิบายโดยมีแกงส้มเสริมว่าปัจจัยคนรอบข้างก็มีส่วนสำคัญ หากความสัมพันธ์ระหว่างคนใกล้ตัวไม่ว่าจะเป็นเพื่อนหรือพ่อแม่ไม่ราบรื่น ขาดพื้นที่ปลอดภัย ไม่รู้จะคุยให้ใครฟังก็อาจรู้สึกสับสนได้ง่ายๆ นอกจากนี้โซเชียลมีเดียหรือการเสพสื่อที่ไม่ได้คัดกรองยังคืออีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อสุขภาพจิต เพราะการบริโภคข้อมูลข่าวสารเหล่านี้ รวมถึงการใช้ชีวิตอยู่บนหน้าจอมากอาจนำไปสู่การเปรียบเทียบชีวิตเรากับคนอื่นได้ง่ายๆ และส่งผลให้มองว่าตัวเองยังไม่ดีพอ
ที่ผ่านมา Mindventure เวิร์กช็อปใช้วิธีเก็บค่าเข้าร่วมกิจกรรมจากผู้เข้าร่วมเอง แต่นับแต่เธอเข้าร่วมเวิร์คช็อป Youth Co:Lab เธอเริ่มมองหาวิธีใหม่ๆ ให้โอกาสการเข้าถึง Mindventure เป็นไปได้มากขึ้น
“เราอยากให้เครื่องมือการเรียนรู้แบบนี้เข้าถึงทุกคนได้ ไม่อยากกีดกั้นจากฐานะเลยพยายามหา business model ใหม่ๆ อยู่” เมื่อ MindVenture มีทุนในการเทสเวิร์คช็อปหนึ่งในข้อคนพบคือ ยิ่งเก็บค่าสมัครแพง ยิ่งมีคนสมัครน้อย ยังไม่นับรวมว่าหากอยากให้เด็กทั่วประเทศเข้าถึงสิ่งนี้ การควบคุมค่าใช้จ่ายให้อยู่ในระดับที่จับต้องได้คือเรื่องจำเป็น
“เราเริ่มเข้าใจมากขึ้นว่าลูกค้ากับยูเซอร์อาจจะคนละคนกัน เราดูว่าตลาดมีใครได้อีกบ้าง เรากำลังปรับมุมมองใหม่ๆ มากขึ้น” โมเดลที่น้องมัธยมไม่ต้องเป็นคนจ่ายเงินคือสิ่งที่แกงส้มกำลังมองหา “เราอยากหาคนที่สปอนเซอร์ได้ อาจเป็นบริษัทหรือเป็นใคร นี่กำลังเป็นโจทย์ใหม่” เธอเสริมว่าหรืออาจปรับเอาโมเดลรองเท้า TOMS มาใช้ที่ทุกๆ ครั้งที่มีคนจ่ายเงินเพื่อเข้าร่วมโครงการ จะมีอีกคนที่จำเป็นและต้องการการสนับสนุนจะได้รับสิทธิเข้าร่วมโครงการโดยไม่ต้องเสียเงิน
วัดผลและขยายผล
เมื่อผ่านการเข้าร่วมเวิร์คช็อปผู้เข้าร่วมมักมีความรู้สึกที่ดีขึ้น ผ่อนคลายยิ่งขึ้น การประเมินผลเหล่านี้ทราบจากแบบประเมินหลังเรียน นอกจากนี้ยังมีการสุ่มโทรพูดคุยกับผู้เคยเข้าร่วมในสามและหกเดือนหลังจากจบเวิร์กช็อป
“พอเข้าร่วมเวิร์กช็อป Youth Co:Lab เรามีอีกไอเดียในการประเมินผล เราพยายามปรับตัวชี้วัดให้จับต้องได้มากยิ่งขึ้น เช่น ประเด็นเรื่องเวลาที่ใช้บนหน้าจอมากขึ้นหรือลดลงบ้างหรือไม่” แกงส้มยกตัวอย่าง
มาถึงตรงนี้ เราอดสงสัยไม่ได้ว่าการใช้รูปแบบค่ายในการแก้ปัญหาเรื่องตัวตนและคุณค่าของชีวิตจะทำให้อิมแพ็กที่สร้างได้เป็นไปอย่างช้าๆ หรือไม่
“มันยังมีวิธีที่จะขยายผลอีกหลายแบบ เราสามารถทดลองให้เกิดการเรียนรู้ด้วยตัวเอง (self-learning) ในประเด็นนี้ก็ได้ หรือจะเซ็ตมาตรฐานเนื้อหาขึ้นมาแล้วให้คนอื่นไปสอนต่อๆ กันก็ได้” แกงส้มอธิบายว่าเธอยังเห็นหนทางไปต่ออีกมาก เพียงแต่ตอนนี้เธอโฟกัสกับเรื่องการหาตลาดอยู่ เธอเสริมว่าก่อนนี้เธอเคยจัดค่ายที่เน้นเสริมทักษะการเป็นกระบวนกรและทักษะการฟังเพื่อนำไปใช้ต่อยอดได้กับคนอื่นๆ ด้วย
“ในอดีตที่ตัวเองเคยมีความทุกข์แล้วเราเรียนรู้จากกระบวนการแบบค่าย เราก็ทุกข์น้อยลง พอมันเปลี่ยนเราได้ ส้มเลยคิดว่าการจัดกระบวนการเหล่านี้ให้ผู้อื่นต่อก็จะเป็นประโยชน์มาก มันเป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงลึก ไม่ใช่แค่เรียนจากการคิดอย่างเดียว แต่ได้เปลี่ยนจากภายในจิตใจ มุมมองโลก และพฤติกรรมการดำรงชีวิต แต่เราก็ไม่ได้ยึดติดว่าต้องทำแค่สิ่งนี้เป็นหลัก เราก็กำลังค้นหาวิธีการอื่นๆ อยู่เรื่อยๆ เหมือนกัน” แกงส้มทิ้งท้าย