• Published Date: 21/03/2019
  • by: UNDP

บทบาทใหม่ของเมืองและการเปลี่ยนแปลงที่เป็นธรรม

เพราะคนของเมือง คือหน่วยที่เล็กที่สุดของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่

เรากำลังอาศัยอยู่ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและถูกทับด้วยกองหลักฐานของความไม่ไว้วางใจจากภาคประชาชน การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นก็เป็นไปอย่างจำกัด ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องของต้นทุนหรือความสามารถในการลงมือทำ (แม้ว่าเรามักจะชอบชี้ประเด็นไปที่ความขาดแคลนเหล่านี้ก็ตาม) แต่เป็นเรื่องของความหมายในการสร้างความชอบธรรมหรือการแบ่งปันเครือข่ายระหว่างกัน เพื่อกำหนดเป็นทิศทางของเป้าหมายเมืองในอนาคต

เราจะจัดการกับความชอบธรรมอันอ่อนแอที่กำลังเติบโตมากขึ้นในบริบทที่ซับซ้อนนี้ได้อย่างไร มีปัจจัยหลายส่วนเกี่ยวข้อง ทั้งความสามารถการผลิต กระแสนิยม และกลุ่มผู้ขับเคลื่อน รวมถึงปัจจัยอื่นอย่างการเปลี่ยนแปลงทางประชากรครั้งใหญ่ สภาพภูมิอากาศที่แปรปรวน ระบบอาหารที่อันตราย และผลที่เกิดขึ้นจากการปฏิวัติอุตสาหกรรม 4.0 ซึ่งเป็นการสร้างผลตอบกลับแบบเป็นลูปตามมา ผลของการล้นทะลักของประชากร การขาดแผนที่ถูกวางอย่างรอบคอบ และการไม่ได้จินตนาการล่วงหน้าถึงผลที่อาจจะเกิดขึ้น

เมืองคือพื้นที่ที่รวมเอาระบบที่มีความหลากหลายเข้าไว้ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน ระบบอาหาร การขนส่ง ระบบการเงิน ระบบน้ำ สถาบันเพื่อพัฒนาคน โรงเรียน มหาวิทยาลัย และอื่นๆ การเปลี่ยนแปลงระบบที่ซ่อนอยู่ในลักษณะที่ผสมผสานกันนี้ เป็นความท้าทายอันยากเย็นที่เรากำลังเผชิญอยู่และเปิดโอกาสมากมายในอนาคต ทั้งโอกาสในการลดก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์อย่างเต็มรูปแบบ ปลดปล่อยความสามารถของนวัตกรรมองค์รวมให้กับเศรษฐกิจ และสร้างสภาพอากาศที่มีคุณภาพ ทั้งหมดเหล่านี้คือระบบนวัตกรรมที่เมืองต้องการ

ความซับซ้อนนี้ (ที่รวมระบบของระบบและความต้องการทางแก้ปัญหาเชิงสังคมที่เป็นธรรม) เป็นสิ่งที่บังคับให้เกิดโครงสร้างใหม่ของความชอบธรรม โลกที่กำลังขยายตัวเรียกร้องกลยุทธ์สำคัญคือการกระจายอำนาจจากศูนย์กลางรัฐชาติไปสู่ภูมิภาค และเปิดพื้นที่ให้เมืองได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เป็นเรื่องที่มากไปกว่าการที่รัฐชาติจะแค่เพียงมอบอำนาจให้กับเมือง ถ้าหากเมืองเป็นกลไกที่แท้จริงของการพัฒนาบุคลากรมนุษย์ (Human Development) 2.0 ที่ที่พวกเราสามารถระบุและเอาชนะความท้าทายในสังคมเพื่อที่จะสร้างการปฏิวัติวัฒนธรรม (Industrial Revolution) 4.0 ที่เปลี่ยนแปลงใหม่ได้แล้ว จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเปลี่ยนแปลงระบบเดิมที่ติดล็อคและให้อิสระกับสิ่งที่เรียกว่า ‘การประหยัดจากขอบเขต’ (economies of scope หมายความถึงทิศทางการยกระดับศักยภาพด้วยการทำธุรกิจหลายประเภทที่มีความเชื่อมโยงกัน (Supply chain) เพื่อให้ใช้ทรัพยากรหรือปัจจัยการผลิตร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น) บริบทและระบบที่เปลี่ยนแปลงไปเพื่อสร้างภาพรวมของการแก้ปัญหาที่ชอบธรรมในโลกที่ซับซ้อนนี้ จึงเป็นสิ่งที่ต้องการการได้รับการพัฒนาและต้องอาศัยการสร้างจินตนาการขึ้นมาใหม่

การสร้างความชอบธรรมใหม่ จำเป็นต้องมีองค์ประกอบสำคัญ คือการปรึกษาหารือ (ทางการเมือง) และโครงสร้างพื้นฐานที่ผ่านการมีส่วนร่วมโดยการอภิปรายของพลเมืองและการกำหนดนโยบายของพลเมือง ความต้องการนี้เป็นมากกว่าแค่เครื่องมือของการระดมความคิดเห็น ผู้คนในเมืองมีความตระหนักที่ดีขึ้นในการจัดการปัญหาความท้าทายที่ซับซ้อนของกระบวนการในการพิจารณา เพราะถ้าหากมองข้ามทางแก้ปัญหาที่ไร้ความหมาย ก็จะไม่เกิดการแก้ปัญหาที่มีอยู่จริง อย่างที่พวกเรากำลังเป็นพยานให้กับฝ่ายการเมืองที่ปฏิเสธการกำหนดนโยบายสิ่งแวดล้อมเพื่อสภาพอากาศที่มีคุณภาพ

การจะสร้างลักษณะที่เป็นธรรมขึ้นมาใหม่ในโลกที่ซับซ้อนนี้ต้องอาศัยการปฏิรูปมหาศาล โดยตั้งอยู่บนสิ่งที่เราทำในปัจจุบัน  อยู่ภายใต้การเริ่มต้นและข้อจำกัดของประเด็นต่างๆ ดังนี้

1.การกำหนดนโยบายที่วัดผลได้และนำมาใช้อย่างมีความหมาย โดยรัฐบาลแห่งชาติ สร้างพื้นที่ที่ชอบธรรมตามกฎหมายสำหรับการตอบสนองเชิงสังคมและนวัตกรรมของเมือง ในขณะที่จะต้องประคับประคองความสามารถในการรับและความสามารถในการผลิต เพื่อที่จะให้ความรู้สึก คำนิยาม การปรับเปลี่ยน และการขยายตัวของชาติ เครือข่าย และเป้าหมายที่แชร์ร่วมกันนั้นดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ความเป็นไปได้และเครื่องมือข้อนี้ได้รับการพิสูจน์ให้เห็นถึงส่วนสำคัญไว้อย่างชาญฉลาด อ่านได้ในผลงานของ Yuen Yuen Ang และหนังสือที่เธอเขียนที่ชื่อ How China Escaped The Poverty Trap คือตัวอย่างที่ยอดเยี่ยม

2.การเปลี่ยนแปลงอย่างมีวัตถุประสงค์และออกแบบการใช้งานต้นทุนเดิมของชาติให้เข้าสู่ศูนย์กลางใหม่ การรวมเข้าสู่ศูนย์กลาง การใช้งานเครือข่ายของเมืองที่รวมอยู่ตามภูมิภาค สนับสนุนการร่วมกันในด้านความรับผิดชอบส่วนงบประมาณและการรวมเครือข่ายเข้าไว้ด้วยกัน

3.การกระจายความรับผิดชอบอย่างมีเป้าหมายของหน่วยงานตัวแทนนวัตกรรมแห่งชาติ ในกรณีนี้หมายถึงเมืองที่มีหน่วยงานตัวแทนนวัตกรรมนั้นจริง ให้จัดการปัญหาเรื่องระบบที่ไม่เท่าเทียมของการใช้จ่ายอย่างระมัดระวังและการใช้งบเพื่อวิจัยและพัฒนาอย่างเหมาะสม

4.ระบบและการใช้ระบบของกระบวนการอภิปรายทางการเมือง หมายถึงการรวมกลุ่มกันของพลเมือง คณะลูกขุนเทศบาล และมากไปกว่านั้นคือ คอมมูนิตี้ (เชิงธุรกิจ) เพื่อร่วมกันพัฒนาย่านมีมาตรฐานและเป็นส่วนหนึ่งขององค์ประกอบในระบบของการปกครองระบอบประชาธิปไตย (ไม่มีข้อยกเว้นสำหรับความท้าทายนี้)

5.สร้างวัฒนธรรมที่เป็นระบบแห่งการลงประชามติและการลงคะแนนเสียงสองเท่า (รวมความตั้งใจเข้า กับความคิดเห็น) ในขณะที่กระบวนการของการอภิปรายทางการเมืองนั้นเป็นกลไกที่ทรงพลังในการสร้างมติมหาชนใหม่ แต่เราก็จะต้องผ่านกระบวนการที่ยากเย็นและความท้าทายที่ซับซ้อน ต้องการองค์ประกอบที่ทำให้สมบูรณ์ นั่นคือความสามารถของนักการเมืองและกระบวนการอภิปรายทางการเมือง ด้วยการสร้างความสามารถที่ทำให้การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเป็นไปอย่างชัดเจน ได้เป็นส่วนหนึ่งของการตัดสินใจที่ซับซ้อนมากขึ้น สร้างโครงสร้างสำหรับการให้ข้อมูล เพราะการอภิปรายที่เป็นธรรมคือการมีโครงสร้างโปร่งใส่ การได้อิทธิพลจากภายนอก และการสร้างความเปลี่ยนแปลงเท่าที่จำเป็น

6.พัฒนาข้อพิสูจน์ (Evidence) ที่มีพื้นฐานจากการกำหนดนโยบาย เพื่อสร้างพลเมืองที่รอบรู้ (Informed Citizenship) ที่มีพื้นฐานจากการกำหนดนโยบายเช่นกัน เราต้องการการยกระดับเมืองอย่างมีโครงสร้าง เพื่อทำให้ข้อมูลและหลักฐานสามารถส่งต่อได้อย่างถูกต้อง จากโครงการในปัจจุบันของ “Evidence to Policy-makers to Politicians” หรือ “จากข้อพิสูจน์ถึงผู้วางนโยบาย จากผู้วางนโยบายถึงนักการเมือง” หมายถึงนักการเมืองจะต้องก่อตั้งฉันทามติใหม่ให้เป็นทางเลือก เพื่อให้พลเมืองได้ใช้หลักฐาน ข้อมูล ภาพต่างๆ เป็นข้อมูลในการสร้างจิตสำนึกพลเมือง (=แรงผลักดันที่จับต้องได้ อย่างเช่นเรื่องแปลงข้อมูลมลพิษทางอากาศให้เป็นภาพ หรือลดการแชร์ข้อมูลที่ไม่สมเหตุสมผลหรือไม่ถูกต้อง เพื่อสร้างบริบทใหม่สำหรับนโยบายที่มีความเป็นไปได้) นี่คือความจริงใหม่ ที่ว่าบทบาทของนักการเมืองมีผลต่อการสร้างฉันทามติใหม่ (บทความนี้ก็เป็นการแสดงให้เห็นคุณค่ารูปแบบใหม่ ลดบทบาทและการเผยแพร่ของหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นลง)

7.แฮ็กเมือง (Civic Hacking) แห่งอนาคต – ในขณะที่พวกเรากำลังยอมรับประวัติศาสตร์ที่ไม่เป็นระบบ ฝั่งสตาร์ทอัพก็มีบทบาทในการขับเคลื่อนนวัตกรรมและเปลี่ยนแปลงเมืองมากขึ้น เทคโนโลยีและผลของมันไปไกลกว่าระดับบุคคลสู่การสร้างผลในระดับของเมือง แต่อย่างไรก็ตาม ไอเดียของสตาร์ทอัพจำเป็นต้องมี “พื้นที่จริง” สำหรับการทดลองนวัตกรรมที่มีความซับซ้อนให้กลายเป็นโครงสร้าง การแฮ็กเมืองเพื่ออนาคตต้องการโครงสร้างแข็งแรงที่สร้างจากด้านล่าง นั่นคือความเชื่อใจจากพลเมืองและความเป็นธรรม (อย่างที่โครงการ Sidewalk Toronto ทำได้) ในอนาคต นวัตกรรมที่มีความหมายจะต้องให้ความสำคัญกับการเปิดรับความร่วมมือและข้อปฏิบัติของพลเมืองมาเป็นที่หนึ่ง ให้ความสำคัญกับนวัตกรรมระบบและเป็นส่วนขยายการลงทุน เมืองจะกลายเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนประเทศและเศรษฐกิจที่หมุนเวียนจากนวัตกรรมพลเมือง จะสามารถเพิ่มความเร็วของการทดลองและการปรับใช้ในอนาคต

8.สร้างการควบคุมเมืองใหม่ การเปลี่ยนแปลงนี้เตือนว่าเมืองต้องการสิ่งที่มากไปกว่าการปกครองเมืองทั่วไป ทั้งการแบ่งอำนาจใหม่ (ระหว่างการทำข้อมูลให้เป็นภาพของพลเมืองและข้อมูลเชิงนโยบาย ระหว่างการผสมผสานบริการภาครัฐและการยินยอมของระบบ หรืออื่นๆ) สิ่งนี้ต้องการโครงสร้างการควบคุมใหม่ ซึ่งแสดงว่าเห็นคุณค่าของการพัฒนาเทคโนโลยีข้อมูล (อย่างเช่น อินเทอร์เน็ตหรือเทคโนโลยีสารสนเทศ) และเทคโนโลยีอัจฉริยะ (เช่น ปัญญาประดิษฐ์ IoT ข้อมูล) ทั้งสองเปลี่ยนถ่ายอำนาจมาสู่มือของพลเมืองจากรัฐที่ถือไว้ตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 โดยนำความรับผิดชอบของรูปแบบการดำเนินงานของรัฐมาปรับให้เป็นยุคดิจิทัล ตัวอย่างเช่น ระบบอัตโนมัติและเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ นำมาซึ่งระบบการจัดการระบบที่มีประสิทธิภาพอย่างสูงสุด ลดงบประมาณที่ใช้ในระบบราชการให้แทบเป็นศูนย์ นอกจากนี้ ผู้คนยังสามารถเปลี่ยนข้อควบคุมต่างๆ ให้เป็นรหัสที่คอมพิวเตอร์จดจำได้ พัฒนาเป็นเครื่องมือต่อรองกับการตัดสินใจที่ซับซ้อนด้วย ข้อควบคุมที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างสม่ำเสมอ เพิ่มพลังในการรับผิดชอบกับความต้องการในมนุษย์และคอมพิวเตอร์ ความจริงใหม่นี้ต้องการพลเมืองเพื่อกำหนดโครงสร้างที่เป็นประชาธิปไตยและเป็นธรรม สำหรับการกำหนดนโยบายลักษณะพิเศษและความหมายใหม่สำหรับการคัดกรองทางสังคม ที่จะไปไกลกว่ารายกงานผลกระทบการตรวจสอบภายใน ช่วงเวลานี้นำเสนอโอกาสเชิงกลยุทธ์สำหรับการสร้างโครงสร้างของความเชื่อใจใหม่หรือทำลาย/ กัดกร่อนรากฐานเดิมที่มีอยู่

9.สร้างความชอบธรรมให้กับนักการเมือง บางทีนี่ก็เป็นส่วนที่สำคัญที่สุดสำหรับโลกในขณะนี้ ข้อตกลงที่ดีนั้นต้องถูกคิดค้นขึ้นมาในสถานการณ์ต่างๆ แต่จุดเริ่มต้นที่สำคัญนั้นคือเราต้องยอมรับว่า การควบคุมตนเองของนักการเมืองและมาตรฐานทางจริยธรรมของพวกเขานั้นไม่เพียงพอในโลกที่ซับซ้อน เพียงแค่ขั้นตอนทางจริยธรรมและการกำกับดูแลมาตรฐานกฎระเบียบและการปฏิบัติตามของนักการเมืองให้กับคณะลูกขุนที่ยืนอยู่ การประชุมพลเมืองจะช่วยปรับปรุงความโปร่งใส ความเข้าใจ ความซื่อสัตย์ และความไว้วางใจในนักการเมือง ระบบการเมืองของเราในการปฏิบัติและส่งออกไปยังโลกที่ซับซ้อน

รายการเหล่านี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น เป็นการจำกัดเบื้องต้นเปรียบเหมือน ‘สสารมืด’ ที่ต้องการเปลี่ยนแปลง แยกออกจากกายภาพ วัฒนธรรม หรือช่องว่างที่เห็นชัดของการเปลี่ยนแปลงที่ต้องการ เพื่อสร้างระบบนิเวศที่แข็งแรงและเมืองที่คิดถึงสังคมส่วนรวม นั่นหมายถึงการสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่แตกต่างและวิธีการที่สามารถปฏิวัติผู้คนและโลกใบนี้ได้ ความพยายามของพวกเราตรงนี้จึงเป็นการตระหนักถึงความจริงที่ว่า ถ้าหากเมืองของเรานั้นเป็นหน่วยขนาดเล็กของการเปลี่ยนแปลงและการปรับตัว เป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเราจะสามารถทำซ้ำตามขั้นตอนอันล้าสมัยของรัฐชาติได้ พวกเราจำเป็นต้องกลายเป็นองค์ประกอบของโครงสร้างใหม่แห่งการปกครองประเทศในศตวรรษที่ 21 นั่นหมายถึงการสร้างความชอบธรรมให้กับส่วนต่างๆ สร้างระบบการจัดการและส่งเสริมความสามารถของนวัตกรรมจากระดับที่เล็กที่สุดจากริมถนน สู่ใจกลางเมือง เปลี่ยนแปลงจากย่านสู่เมืองทั้งหมด

ถ้าหากอนาคตคือการวางใจในเมืองของเรา พวกเราต้องการการจินตนาการใหม่โดยมีพื้นฐานจากการปกครองเมืองและการปกครองประเทศที่เหมาะสมและสอดคล้องไปกับการพัฒนาอันศิวิไลซ์ที่กำลังท้าทายเราอยู่ในตอนนี้ ทั้งเราต้องเริ่มต้นจากการตระหนักถึงเส้นโคจรแห่งอนาคต ควบคุมกลุ่มก้อนของปัญญาในการเปลี่ยนแปลงและรู้ถึงอนาคตที่สามารถยกระดับคุณภาพชีวิตของคนและรักษาโลกใบนี้เอาไว้ได้

ในขณะที่เราคิดการทดลองที่ยิ่งใหญ่ คือการเปลี่ยนแปลงศาสตร์แห่งการปกครองประเทศใหม่ในสเกลเมือง “เมือง” ในฐานะอนาคตแห่งการเปลี่ยนแปลง ทางแก้ไขปัญหาสำคัญคือมีกลุ่มคนที่กล้าเริ่มต้นมากขึ้น มีการขยายคอมมูนิตี้มากขึ้น และสนับสนุนเหล่านวัตกรที่มีกลยุทธ์ทั่วโลก อย่างที่ UNDP Eurasia หน่วยงานที่เปิดตัวโครงการใหม่ City Experiments Fund มูลนิธิ McConnell Foundation กับการสนับสนุนทุนโปรเจ็กต์ Future Cities Canada และการเป็นส่วนร่วมในงาน Climate KIC ที่อยู่ภายใต้โครงการ City Transitions หรือโปรเจ็กต์ 100 Resilient Cities และ Bloomberg Philanthropies ทำงานร่วมกับเทศบาลเมืองทั่วโลก นอกจากนี้ยังมีโครงการที่เป็นการกระจายอำนาจออกจากศูนย์กลางสู่ภูมิภาคเมืองในหลายประเทศ รวมถึงสหราชอาณาจักรกับโครงการ C40 Cities โครงการให้ความช่วยเหลือผู้นำระดับโลกเพื่อแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศแปรปรวน นอกจากนี้ยังมีอีกหลายแพลตฟอร์มใหม่ๆ และการสร้างเครือข่ายรวมที่พร้อมส่งเสริมศักยภาพของเมือง อาทิ Fab City Global Initiative, ParticipatoryCity, CivicSquare และ Co-Cities เป็นต้น

 

  • Published Date: 05/03/2019
  • by: UNDP

ยุคแห่งการพัฒนาที่ “กลายพันธุ์”

เรื่องนี้เริ่มจากคำถามง่ายๆ ว่าถ้าหากคุณกำลังมองหาหน่วยงานการพัฒนาที่ล้ำสมัย คุณจะไปหาที่ไหนในวันนี้?

บางทีคุณอาจจะรู้จักสตาร์ทอัพอย่าง Premise  แพลตฟอร์มวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อคาดการณ์เทรนด์ด้านอาหารเพื่อให้หน่วยงานต่างๆ ตัดสินใจได้เร็วขึ้นและกำหนดนโยบายได้ดีมากขึ้น หรือ GiveDirectly หน่วยงานที่มุ่งหวังขจัดปัญหาความยากจนด้วยการสร้างระบบจัดการและติดตามการโอนเงิน บางทีคุณอาจจะลองให้ความสนใจกับ PetaJakarta เว็บไซต์โอเพ่นซอร์สที่ระดมข้อมูลเกี่ยวกับน้ำท่วมในอินโดนีเซียจากทวิตเตอร์ของทุกคนที่เข้ามาแชร์ร่วมกัน หรือคุณอาจพิจารณาโปรแกรมการรับมือกับมหันตภัยของ Airbnb ในฐานะเป็นตัวบ่งชี้โครงสร้างทางเลือกที่ปรากฏขึ้นมาสำหรับการรับมือกับมหันตภัย (และบางทีก็เป็นการเริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับเศรษฐกิจการเมืองของทั้งหมด)

Airbnb OPEN HOMES · DISASTER RELIEF

ลองมาดู Refugee Emergency ของ Bitnation แพลตฟอร์มการระบุตัวตนของผู้ลี้ภัยโดยการใช้บล็อกเชน วิธีการตอบรับกับวิกฤติผู้ลี้ภัยในยุโรป แสดงถึงความเป็นไปได้ที่จะเป็นผู้บุกเบิกทางแก้ปัญหาในอนาคตสำหรับประเด็นการอพยพข้ามประเทศ หรือท่ามกลางความท้าทายที่หนักหนาที่สุดของภาคการพัฒนา ยังมีรูปแบบการดำเนินธุรกิจของ One Acre Fund กิจการเพื่อสังคมที่เสนอบริการสำหรับเกษตรกรขนาดเล็ก หรือ Floodtags หน่วยงานที่ทำหน้าที่วิเคราะห์ข้อมูลจากประชาชนในระหว่างที่เกิดเหตุการณ์น้ำท่วมหรือการจัดการกับมหันตภัย ตัวอย่างเหล่านี้เป็นการบ่งชี้เส้นทางในอนาคตเพื่อที่จะขยายศักยภาพการพัฒนา

Refugee Emergency ของ Bitnation

ถ้าหากคุณต้องการมองหาผู้บุกเบิกวิธีการแก้ปัญหาแห่งอนาคตในส่วนของภาคการพัฒนา คุณก็ควรที่จะมองไปยังผู้ริเริ่มอย่าง Citymart หน่วยงานให้บริการดิจิทัลที่ทำงานกับเทศบาลเมืองทั่วโลกในการพัฒนาระบบการจัดซื้อแบบของเมือง ให้อิสระกับผู้เชี่ยวชาญและความสามารถด้านนวัตกรรมของพลเมืองในแต่ละพื้นที่ หรือโครงการอย่าง Pathogen Box หรือ Patient Innovation แพลตฟอร์มออนไลน์ที่เปิดพื้นที่ให้คนไข้และผู้ดูแลจากทั่วทุกมุมโลกได้เข้ามาแชร์ทางเลือกในการรับมือกับปัญญาสุขภาพที่แตกต่างกันออกไป

การมุ่งเน้นไปที่ความกล้าหาญในการให้พื้นที่กับผู้นำนวัตกรรมและความรู้อันเข้มแข็งของท้องถิ่นได้กลายเป็นค่านิยมใหม่ ความเคลื่อนไหวทางสังคมทั่วโลกนั้นเป็นพื้นที่สำหรับการมองหาสัญญาณแห่งอนาคต อย่างเช่นการรวมตัวกันของ “พลเมืองผู้เชี่ยวชาญ” จากกรณี Kawal Pamilu หรือการรวมกลุ่มอาสาสมัครกว่า 700 คนเข้ามานับคะแนนเสียงเลือกตั้งทั่วไปของอินโดนีเซียและแสดงผลบนเว็บไซต์แบบออนไลน์ โดยได้กลายเป็นกรณีศึกษาครั้งยิ่งใหญ่ให้กับภาคการพัฒนานี้

รายชื่อของหน่วยงานหรือการปฏิบัติเหล่านี้ควรจะดำเนินต่อไป ขอต้อนรับเข้าสู่ยุคแห่งการพัฒนาที่ “กลายพันธุ์” ในขณะที่กลุ่มผู้เล่นเดิมในภาคการพัฒนานั้นกำลังมองหาวัตถุประสงค์ต่างๆ เพื่อที่จะคอยประเมินทั้งหมดอย่างใกล้ชิด ส่วนกลุ่มผู้เล่นใหม่กำลังรวมตัวกันเพื่อได้ทำงานอย่างเป็นอิสระ โดยการหยิบยืมความเชี่ยวชาญจากสาขาที่แตกต่างหลากหลาย พวกเขาแสดงให้เห็นศักยภาพแท้จริงที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต

เหนือสิ่งอื่นใด ภาคพัฒนาที่ “กลายพันธุ์” เหล่านี้กำลังชวนให้คิดว่า การผสมผสานกันของเครื่องมือแบบดั้งเดิมที่เคยถูกใช้ในภาคการพัฒนาเดิมนั้นไม่ดีพอหรือไม่เพียงพอต่อการพัฒนาที่กำลังเกิดขึ้น ไม่ว่าคุณจะมองไปที่เรื่องการใช้งานข้อมูลหรือเรื่องการจัดซื้อ เรื่องการเงินหรือการวางแผน การไม่อัพเกรดชุดเครื่องมือจะนำภาคการพัฒนาแบบเดิมไปสู่วิกฤติของการสร้างความรู้สึกและการขาดดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ จนถึงนำไปสู่การเกิดคำถามที่หลากหลายเกี่ยวกับความชอบธรรมอีกด้วย

กรณีที่ควรได้รับการพูดถึงอย่าง EveryChild หน่วยงานที่รับการปลดออกจากตำแหน่งในปี 2017 (เป็นประเด็นถกเถียงว่าเป็นนวัตกรรมที่ดีมากที่สุดในภาคการพัฒนามาจนถึงปัจจุบัน) ปฏิกิริยาตอบกลับในช่วงการเริ่มต้นสู่การกลายพันธุ์ที่เพิ่มมากขึ้นนั่นเปรียบเหมือนกับการรับตัวอย่างตุ่นปากเป็ดตัวแรกจากออสเตรเลียเข้ามาในยุโรป ผู้คนไม่เชื่อว่ามีสัตว์ชนิดนี้อยู่จริงบนโลก ตัวตุ่นได้รับการพิจารณาว่าเป็นเพียง “ข่าวลือจากจีน” คือสัตว์ที่เอาชิ้นส่วนของสัตว์อื่นๆ มาประกอบกัน ด้วยเหตุผลนี้ทำให้ตัวตุ่นปากเป็ดถูกปฏิเสธเข้ากับการรวบรวมทางวิทยาศาสตร์ ลองคิดเปรียบเทียบในกรณีเดียวกัน ถ้าหากพวกเราต้องการกลับด้านแบบจำลองนี้? เราจะย้ายฝ่ายจากการไม่ยอมรับแล้วเปลี่ยนเป็นการร่วมมือกันเพื่อสร้างผลลัพธ์จำนวนมากมายอย่างที่ edgeryders (เว็บไซต์ที่รวมชุมชนของผู้สร้างการเปลี่ยนแปลง ภายใต้เป้าหมายสำคัญคือการร่วมกันสร้างโปรเจ็คต์ที่ยั่งยืนด้วยตัวเอง นั่นหมายความว่าเป็นโปรเจ็คต์ที่สร้างคุณค่าและมูลค่าได้เพียงพอต่อการตอบแทนคนที่ทำงานด้วย) ทำไว้และรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วได้นี้อย่างไร?

ปรับใช้หลักการใหม่

จากประสบการณ์ในการทำงานในองค์กรเพื่อการพัฒนา ผมเชื่อว่าการร่วมมือกันของกลุ่มที่กลายพันธุ์นั้นเกี่ยวข้องกับผู้เล่นหน้าเก่า 2 ประเภท ทั้งในระดับแผนการและระดับปฏิบัติการ โดยในระดับแผนการนั้น เราได้ทำงานกับการลงพื้นที่ที่นำเราไปสู่การเชื่อมต่อกัน ได้ผลลัพธ์มาเป็นหลักการสำหรับการปฏิบัติตาม

วางแผนจากสิ่งที่ผู้คนมีอยู่ ไม่ใช่สิ่งที่ผู้คนต้องการ: ถึงแม้ว่าข้อปฏิบัตินี้ แม้แต่ jugaad (นวัตกรรมของอินเดีย) และการท้าทายในเชิงบวกนั้นมีมาแล้วอย่างยาวนาน น่าเสียดายว่าจุดเริ่มต้นที่เป็นค่ามาตรฐานสำหรับโครงการเพื่อการพัฒนาหลายๆ โครงการนั้นยังคงที่จะวางแผนจากสิ่งที่ผู้คนต้องการ ไม่ใช่สิ่งที่เป็นต้นทุนที่ผู้คนในแต่ละพื้นที่มีอยู่แล้ว การพลิกกลับแนวคิดนี้ได้จะทำให้มีโครงการที่เต็มไปด้วยศักยภาพและมีพันธมิตรทำงานร่วมกันมากขึ้น (ตัวอย่างโปรเจ็คต์ ได้แก่ Patient Innovation, Edgeryders, Community Mirror, Premise)

เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับอนาคตที่จะมาหลายทิศทาง: เมื่อการกระจายตัวนั้นครอบคลุมไปทั่วองค์กรต่างๆ และไม่มีข้อจำกัดการใช้งานกระจุกอยู่ที่ศูนย์กลางอีกต่อไป การมองเห็นภาพระยะไกลและเห็นวิธีการแก้ปัญหาที่ปรากฏมาเป็นครั้งแรกนั้นอาจจะขัดแย้งกับวิธีการเดิมที่มีอำนาจเหนือกว่า แต่สิ่งที่ต้องทำคือการเคลื่อนที่ไปให้ไกลกว่าระยะของการไม่ยอมรับ และพัฒนาการประสานกันใหม่ให้เป็นความร่วมมือเพื่อเปลี่ยนแปลง นี่คือความเชื่อมโยงกันระหว่างการวิเคราะห์ (เพื่อทำความเข้าใจว่าไม่ใช่แค่เพียงอะไรคือสิ่งที่น่าจะเกิดขึ้น แต่เข้าใจว่าอะไรคือความเป็นไปได้) และการลงมือทำที่เป็นจุดสำคัญ ไม่เช่นนั้น ข้อนี้จะเป็นเพียงข้อปฏิบัติในเชิงวิชาการเท่านั้น (ตัวอย่างโปรเจ็คต์ ได้แก่ OpenCare, Improstuctures, Seeds of Good Anthropocene, Museum of the Future)

ดำเนินการทดลองแบบคู่ขนาน: อย่างที่เดฟ สโนว์เดน (Dave Snowden) ได้เคยกล่าวไว้ การที่จะแทรกแซงระบบที่มีความซับซ้อน “คุณต้องการการทดลองคู่ขนานกันไปหลายเท่า และจะต้องอยู่บนพื้นฐานที่แตกต่างกันและแข่งขันกันในหลายทฤษฎี/สมมติฐาน” น่าโชคร้ายที่โปรเจ็กต์เพื่อการพัฒนาหลายโปรเจ็กต์นั้นยังมีพื้นฐานอยู่บนการเล่าเรื่องแบบเรียงตามเวลาและมีการคาดการณ์อย่าง “ถ้าหากพวกเราแค่ดำเนินงานเพื่อสร้างแคมเปญที่เน้นการสร้างความตระหนักรู้ให้กับพลเมืองและมุ่งเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของพวกเขา” ลองเปลี่ยนจากการเล่าเรื่องอย่างเรียงลำดับนี้ให้เป็นการตั้งสมมติฐานที่ต้องได้รับการพิสูจน์ (โดยไม่กลายเป็นความเชื่อที่เกิดขึ้นบนข้อปฏิบัติที่เฉพาะเจาะจง) เปิดโอกาสสู่ความเป็นไปได้ใหม่ๆ ในการค้นหาวิธีการแก้ไขภูมิทัศน์และการร่วมมือกันกับพันธมิตรที่หลากหลาย อันจะนำมาซึ่งข้อเสนอใหม่ๆ (ตัวอย่างโปรเจ็คต์ ได้แก่ Chukua Hakua, GiveDirectly, Finnish PM’s Office of Experiments, Ideas42, Cognitive Edge)

เปิดรับความไม่เป็นกลาง: ความเข้าใจอย่างละเล็กละน้อยเกี่ยวกับต้นทุนในท้องถิ่นและพลวัตที่เกิดขึ้นตลอดระบบแห่งการวางแผนอย่างลึกซึ้ง จับคู่ผู้เชี่ยวชาญด้านพฤติกรรมกับนักปฏิบัติด้านการพัฒนาทำงานด้วยกัน จะสามารถช่วยระบุประเด็นทั้งหมดเพื่อที่จะค้นพบประเภทของการแทรกแซงแบบใหม่ ที่มีพื้นฐานจากหลักการที่ไม่เป็นกลาง เพราะการกลายพันธุ์ส่วนมากนั้นเกิดขึ้นรวดเร็วกว่าถ้ามีการเปิดรับความไม่เป็นกลาง และการร่วมมือกับพวกเขาเป็นวิธีการหนึ่งในการหลีกเลี่ยงองค์กรหรือหน่วยงานที่มีความเฉื่อยชา (ตัวอย่างโปรเจ็คต์ ได้แก่ Sardex, social prescriptions, Forensic Architecture) 

จากโปรเจ็คต์ สู่ระบบ: ภาคการพัฒนานั้นมีความสนใจอย่างถ่องแท้ในการร่วมกับพันธมิตรใหม่ๆ ต้องการที่จะยกระดับจากโปรเจ็คต์ที่เต็มไปด้วยตรรกะสู่การลงทุนกับระบบ การพัฒนาท่ามกลางสิ่งอื่นๆ กำลังยกระดับเป้าหมายจากการนำเสนอทางแก้ไขปัญหาสู่การช่วยให้ทุกภาคส่วนนั้นพัฒนาจิตใต้สำนึกเกี่ยวกับประเด็นต่างๆ สู่ระดับที่สูงขึ้น ทำให้พวกเขาตัดสินใจได้ดีขึ้นกว่าที่ผ่านมา สิ่งนี้ยังนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่ค้นพบกลไกทางเงินใหม่ (ตัวอย่างโปรเจ็คต์: Lankelly Chase, Indonesia waste banks, Dark Matter Labs)

ปรับใช้อินเตอร์เฟซใหม่สำหรับการทำงานกับความเปลี่ยนแปลง

ศาสตราจารย์แห่ง Harvard Business School อย่างคาร์ลิส บอลด์วิน (Carliss Baldwin) ได้ตั้งประเด็นว่า ชนชั้นกลางส่วนใหญ่ในวันนี้นั้นมีปัญหาที่ ‘non-contractible’ พวกเขาไม่รู้ว่าคนที่ชาญฉลาดเป็นแบบไหน หรือไม่รู้ว่าจะประเมินว่าพวกเขานั้นดีได้อย่างไร แต่สิ่งสำคัญที่สุด คือการที่คนฉลาดส่วนมากจะไม่ต้องการทำงานร่วมกับพวกเขา เพราะค้นพบว่าทั้งไร้ความรู้สึก ไม่สร้างประโยชน์ หรือเชื่องช้า (หรือเป็นทั้งหมดนี้รวมกัน)

หากมองจากในมุมนี้ สำหรับผู้เล่นส่วนใหญ่ในภาคการพัฒนานั้น การกลายพันธุ์เป็น ‘non-contractibles’ คือการเริ่มต้นสร้างความร่วมมือที่มีประสิทธิภาพจึงจำเป็นต้องละทิ้งการปกครองแบบเป็นลำดับชั้นให้ได้มากที่สุด โดยแจ้งงานการพัฒนา (ดูรายงาน Development Report จากธนาคารโลกในปี 2015 บทที่ว่าด้วยกระบวนการรับรู้อคติของนักปฏิบัติการการพัฒนา) และพัฒนาพื้นที่แห่งการปะทะใหม่โดยคิดค้นจากแก่นของการปฏิบัติการ:

การสื่อสาร: เพื่อที่จะดึงดูดคนที่มีความน่าสนใจ คุณจะต้องเป็นที่สนใจในตอนแรกให้ได้เสียก่อน มีจำนวนทีมทำงานด้านการพัฒนาสักกี่คนที่ได้รับการถามโดยหัวหน้าของพวกเขาว่าน่าสนใจอย่างไร? การสื่อสารการพัฒนายังคงเป็นสิ่งที่ถูกควบคุมโดยแผนกการสื่อสารขององค์กรและนำไปสู่เรื่องราวของความสำเร็จหรือผลักดันให้เกิดการระดมทุน

กระบวนการจัดซื้อและการเงิน: สิ่งเหล่านี้มักเป็นเรื่องขององค์กรพัฒนาเอกชนในท้องถิ่นหรือผู้ให้คำปรึกษา แต่การต่อสู้แข่งขันเพื่อที่จะบรรลุข้อตกลงอื่นๆ อย่างเช่นการรวมกลุ่มที่ดูแลตัวเองได้หรือนวัตกรอิสระ โดยการกำหนดนิยามทั้งปัญหาและวิธีการแก้ไข กระบวนการจัดจ้างแบบเดิมนั้นปิดโอกาสนวัตกรในท้องถิ่นหรือผู้ที่ต้องการสร้างความแตกต่าง เพราะขั้นตอนไม่ได้เป็นไปด้วยสัญชาตญาณแต่เต็มไปด้วยข้อปฏิบัติบังคับ ชุดเครื่องมือทางการเงินแบบเดิมขององค์กรเพื่อการพัฒนา (บริจาค กู้ยืม การเงินจุลภาค) เหล่านี้แสดงให้เห็นถึงข้อจำกัดทั้งๆ ที่เรื่องการเงินต้องเป็นปัจจัยที่ปลดปล่อยอิสระของผู้มีความสามารถในพื้นที่ ตัวอย่างเช่น การโอนเงินสดโดยตรงหรือการมีรายได้พื้นฐาน จะมีบทบาทเป็นเครื่องมือที่ทำให้นวัตกรรมท้องถิ่นถูกคิดค้นขึ้นอย่างเป็นอิสระได้ มูลนิธินวัตกรรมแห่งชาติอินเดียได้กำหนดเครื่องมือทางการเงิน เพื่อช่วยสนับสนุนให้ทางแก้ไขปัญหาที่ถูกคิดค้นขึ้นมานั้นมีโอกาสได้ไปต่อ

ทรัพยากรบุคคลและพันธมิตร: เปรียบเหมือนกับโฆษณาหางานและคู่มือพนักงานของหน่วยงานเพื่อการพัฒนาต่างๆ เมื่อพูดถึงสตาร์ทอัพอย่าง Valve คุณสามารถเห็นได้ทันทีเลยว่าปัญหานั้นอยู่ที่ตรงไหน บ่อยครั้งที่การริเริ่มความร่วมมือที่มีประสิทธิภาพกับความเปลี่ยนแปลงนั้น คือการเชื่อใจในพนักงานเพื่อที่จะตัดสินใจและมอบอิสระให้พวกเขา ในดำเนินงานที่ออกแบบมาสำหรับยุค ‘command and control’ เว้นแต่ว่าฝ่ายทรัพยากรบุคคลและฝ่ายพันธมิตรจะมองหากลไกแห่งการสร้างความเชื่อใจใหม่และพื้นที่ส่วนรวมที่จะเข้ามาช่วยทำให้การแลกเปลี่ยนกับองค์กรภายนอกนั้นเป็นไปอย่างราบรื่น ทำงานกับภาคการพัฒนาที่กลายพันธุ์ที่เหลือเป็นกลุ่มขนาดเล็กที่ไม่ต้องปฏิบัติตามระเบียบของบริษัท และรับความเสี่ยงต้านกับผิดปกติเพื่อจะทำให้สิ่งต่างๆ เกิดขึ้น 

เปิดรับความเปลี่ยนแปลง

จากประสบการณ์ของเรา การเฝ้าสังเกตการเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิดและการรู้สึกตัวถึงการกลายพันธุ์ได้นั้นไม่ได้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติในหลายองค์กรภาคการพัฒนา และก็ไม่ใช่แค่เพียงการมองระยะไกลหรือความพยายามในการวางแผนร่วมกัน แต่บางครั้งก็ต้องการความท้าทายในในการตั้งสมมติฐานเชิงลึกทางวัฒนธรรมเกี่ยวกับความต้องการทางแก้ไขปัญหาจากภายนอกและความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญด้วย

ปฏิบัติการนวัตกรรมนั้นเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วกว่าที่หน่วยงานพัฒนาหลายแห่งจะรู้ตัว จงปล่อยให้คนที่ฉายเดี่ยวปรับตัวก่อน ค่อยไล่ตามคนกลายพันธุ์แล้วให้ทัน ร่วมมือกับพวกเขาและยกระดับความเชี่ยวชาญของพวกเขาให้เข้าสู่ความชอบธรรม จนกว่านวัตกรรมที่ริเริ่มแล้วนั้นจะออกผล เมื่อนั้นกลุ่มผู้เล่นจากภาคพัฒนาเดิมก็จะล้มหายไป

 

บทความนี้แปลจากบทความ The era of development mutants เขียนโดย Giulio Quaggiotto

Submit Project

There are many innovation platforms all over the world. What makes Thailand Social Innovation Platform unique is that we have created a Thai platform fully dedicated to the SDGs, where social innovators in Thailand can access a unique eco system of entrepreneurs, corporations, start-ups, universities, foundations, non-profits, investors, etc. This platform thus seeks to strengthen the social innovation ecosystem in Thailand in order to better be able to achieve the SDGs. Even though a lot of great work within the field of social innovation in Thailand is already happening, the area lacks a central organizing entity that can successfully engage and unify the disparate social innovation initiatives taking place in the country.

This innovation platform guides you through innovative projects in Thailand, which address the SDGs. It furthermore presents how these projects are addressing the SDGs.

Aside from mapping cutting-edge innovation in Thailand, this platform aims to help businesses, entrepreneurs, governments, students, universities, investors and others to connect with new partners, projects and markets to foster more partnerships for the SDGs and a greener and fairer world by 2030.

The ultimate goal of the platform is to create a space for people and businesses in Thailand with an interest in social innovation to visit on a regular basis whether they are looking for inspiration, new partnerships, ideas for school projects, or something else.

We are constantly on the lookout for more outstanding social innovation projects in Thailand. Please help us out and submit your own or your favorite solutions here

Read more

  • What are The Sustainable Development Goals?
  • UNDP and TSIP’s Principles Of Innovation
  • What are The Sustainable Development Goals?

Contact

United Nations Development Programme
12th Floor, United Nations Building
Rajdamnern Nok Avenue, Bangkok 10200, Thailand

Mail. info.thailand@undp.org
Tel. +66 (0)63 919 8779