- Published Date: 02/12/2020
- by: UNDP
ถอดบทเรียนโครงการบ่มเพาะนวัตกรรมเพื่อสังคม Youth Co:Lab 2020
เยาวชนเผชิญ เยาวชนคิด เยาวชนหาทางออก คือไอเดียของ Youth Co:Lab พื้นที่สำหรับเยาวชนในการผลิตนวัตกรรมเพื่อสังคมตลอดมา
ปีนี้วาระใหญ่ระดับโลกอย่างโรคระบาดโควิด-19 มาเยือนธีมจัดงานเลือกได้ไม่ยากนัก กลายมาเป็น Covid-19 Recovery ซึ่งมีที่มาจากแบบสอบถามต่อเยาวชนทั่วประเทศถึงความท้าทายที่พวกเขาต้องเผชิญในช่วงโควิด ทำให้ได้ประเด็นย่อยของธีมที่เป็นปัญหาสังคมในช่วงโควิดครอบคลุมถึงเรื่องการศึกษา เศรษฐกิจ สุขภาพจิต และความรุนแรงด้วยเหตุแห่งเพศในครอบครัว
ถึงแม้ว่าขั้นตอนเตรียมงานมาจนถึงงานจริงจะกินระยะเวลาหลายเดือน สถานการณ์เกี่ยวกับโรคโควิดจากวันแรกจนถึงวันงานก็เปลี่ยนไป กล่าวคือ ในประเทศไทย ในช่วงเตรียมงานโรคยังคงระบาดหนัก แต่พอเริ่มจัดงานจริงสถานการณ์ผ่อนคลายลงค่อนข้างมาก ทั้งนี้สถานการณ์ที่เปลี่ยนไปไม่ได้กระทบต่อธีมงานเท่าใดนัก เพราะประเด็นที่เลือกสรรมายังคงเป็นประเด็นที่เยาวชนสนใจ มีความสำคัญและเป็นปัญหาร่วมในสังคมอยู่ เพียงแต่สถานการณ์โควิด-19 และการปรับตัวเป็นตัวเร่งและเน้นย้ำให้เห็นว่าปัญหาเหล่านั้นรุนแรงเพียงใด
ดังนั้นต่อให้โควิด-19 จะซาลง นวัตกรรมเพื่อสังคมที่เยาวชนพัฒนาขึ้นก็ย่อมไม่ไร้ประโยชน์ โอกาสความเข้าใจปัญหาอย่างลึกซึ้งระหว่างทางก็เป็นสิ่งที่เยาวชนผู้เข้าร่วมสามารถนำไปต่อยอดได้ในอนาคต และสำคัญที่สุดการได้พบเจอคนรุ่นใหม่ที่มีความสนใจในประเด็นสังคมก็เป็นอีกหนึ่งจุดมุ่งหมายที่งานนี้ต้ังใจจะให้เกิดดังเช่นทุกๆ ครั้ง บทความนี้จึงจะมาถอดบทเรียนองค์ประกอบสู่ความสำเร็จของการจัดงาน Youth Co:Lab ในปีนี้
ห้องเรียนออนไลน์
จากประสบการณ์การจัด Youth Co:Lab ในปีผ่านๆ มา ทีมงานรู้ดีว่าการเรียนรู้ข้อมูลอัดแน่นในสามวันที่ปิดท้ายด้วยการพิชโปรเจ็กต์นั้นมีเรื่องไม่น้อยที่ให้ผู้เข้าร่วมเรียนรู้และพัฒนาโครงการภายใต้เวลาแสนจำกัด ไอเดียเรื่องการปรับระบบให้เป็นออนไลน์เพื่อขยายเวลาเรียนรู้จึงถูกพูดถึงเรื่อยมา แต่ปีนี้เป็นปีแรกที่ได้ทำจริง
การใช้ช่องทางออนไลน์เพื่อการเรียนและการประชุมมากยิ่งขึ้นจนเป็นเรื่องปกติในช่วงโควิด ทำให้เกิดโอกาสในการเปลี่ยนการเวิคช็อปมาสู่ช่องทางออนไลน์ เวิร์กช็อปครั้งนี้จึงอัดเนื้อหาสาระให้จุใจมากกว่าที่เคย โดยแบ่งเป็นเวิร์คช็อปออนไลน์ 4 วันเต็ม ก่อนที่จะมาพบหน้ากันจริงอีกสองวันครึ่ง เพื่อให้น้องๆได้พิชโครงการที่พัฒนารวมเวลาทั้งหมดกว่า 2 เดือน
ผลที่ออกมาทั้งคุ้มค่าและมีราคาที่ต้องแลก ความเข้มข้นของเนื้อหาแน่นอนว่าได้มากกว่าที่เคย แต่ความสบายใจ และพื้นที่ปลอดภัยในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้คือสิ่งที่ผู้จัดกังวลว่าอาจทำได้ไม่ดีเทียบเท่ากับการพบเจอกันตัวต่อตัว แต่เราก็พบว่าการที่ปรับห้องเรียนเป็นแบบออนไลน์และขยายเวลาให้ครอบคลุมยาวขึ้น การพบปะแบบออนไลน์ก็ยังมีช่องทางในการสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้เกิดขึ้นได้ จากความต่อเนื่องในการพบกันก็ทำให้เกิดการพูดคุย แลกเปลี่ยน และเมื่อทุกคนมาด้วยความตั้งใจเดียวกันคือการเปลี่ยนแปลงสังคม มิตรภาพและความรู้สึกเชื่อมโยงกันก็ยังสามารถเกิดขึ้นได้ผ่านช่องทางออนไลน์
อย่างไรก็ตาม การใช้ช่องทางออนไลน์ทั้งหมดก็อาจจะไม่สามารถทดแทนได้เสียทีเดียว ทางทีมงานจึงปิดท้ายกระบวนการด้วยเวิร์กช็อปแบบออฟไลน์อีก 2 วัน จุดประสงค์หลักคือการสร้างพื้นที่ในการแลกเปลี่ยนระหว่างผู้เข้าร่วม ถอดบทเรียนการเรียนรู้จากออนไลน์ รวมไปถึงนำเสนอผลงานหลังจบบทเรียนทั้งหมดแล้ว
ข้อดีอีกอย่างของการเรียนการสอนแบบออนไลน์คือ การใช้เครื่องมือบันทึกข้อมูลที่เป็นออนไลน์เช่นกัน หากผู้จัดต้องการจัดเก็บข้อมูลก็ลดขั้นตอนซ้ำซ้อนนี้ลงไปได้ อีกทั้งยังเห็นพัฒนาการและความตั้งใจทำงานของแต่ละกลุ่มได้อย่างเป็นรูปธรรม
ซัพพอร์ตพร้อม
ก่อนที่กระบวนการเวิร์กช็อปจะเริ่มขึ้น เราได้ติดต่อพาร์ตเนอร์ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญตามประเด็นทางสังคมต่างๆ เพื่อแบ่งปัน insights และช่วยสะท้อนให้แต่ละทีมได้พัฒนางานที่ตรงโจทย์มากยิ่งขึ้น เช่น คุณศานนท์ หวังสร้างบุญ จากทีม Locall ที่มาให้คำปรึกษาเกี่ยวกับประเด็นเรื่องการสร้างงานในธุรกิจร้านอาหารช่วงโควิด หรือดร.รังสรรค์ วิบูลอุปถัมภ์ นักวิชาการการศึกษาจาก UNICEF ที่มาให้คำปรึกษาเรื่องนวัตกรรมการศึกษา เป็นต้น
อีกหนึ่งการสนับสนุนที่เพิ่งมีขึ้นครั้งแรกในปีนี้คือการรับสมัครผู้เข้าร่วม Youth Co:Lab ในปีก่อนๆ (Alumni) เพื่อเป็น Mentor หรือพี่เลี้ยงประจำกลุ่ม หน้าที่ของพี่เลี้ยงคือช่วยตอบคำถาม คลายข้อสงสัย ให้ความเห็น เสริมมุมมอง
Mentor คนหนึ่งที่เป็น Alumni จากปีที่แล้วให้ความเห็นว่า นอกจากจะได้ช่วยเกลา ช่วยชี้แนะผลงานของทีมที่ตนดูแลอยู่แล้ว ยังใช้โอกาสนี้ในการเรียนรู้เครื่องมือใหม่ๆ ที่เข้มข้นและแตกต่างไปจากปีที่แล้วพร้อมๆ กับผู้เข้าร่วมด้วย
กางตำรา
เวิร์กช็อปออนไลน์ทั้ง 4 สัปดาห์ ได้รับความร่วมมือจาก Hand up network และ Changefusion ในการมาทำกระบวนการออนไลน์ ในอาทิตย์แรก นอกจากจะพยายามละลายพฤติกรรม สร้างบรรยากาศที่ดีในการเรียนรู้ และทำความรู้จักกันเบื้องต้นแล้ว วัตถุประสงค์หลักของห้องเรียนครั้งนี้คือการสร้างความเข้าใจในปัญหาที่แต่ละทีมอยากแก้
เครื่องมือที่ใช้ในการเข้าใจปัญหาไม่ได้เป็นเพียงการมองปัญหาที่ทีมสนใจเท่านั้น แต่ยังชวนคิดกลับไปให้ถึงรากของปัญหา และมองผลกระทบทั้งหมดที่เกิดจากปัญหานี้อย่างรอบด้าน
เมื่อเห็นปัญหาแล้ว กระบวนกรได้ชวนแต่ละกลุ่มไปวิเคราะห์ต่อว่ามีใครบ้างที่เกี่ยวข้องกับปัญหานี้ แต่ละผู้เล่นหรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องมีบทบาทแบบไหน มีหน้าที่อะไร กำลังพยายามขับเคลื่อนหรือแก้ปัญหาไหนอยู่ เพื่อที่จะได้เห็นว่าทีมจะวางตัวเองอยู่ส่วนไหนของปัญหา และจะแก้ไขเรื่องไหนเป็นหลัก
ก่อนแยกย้ายกันยังมีการโจทย์ Problem Statement เพื่อกำหนดขอบเขตของปัญหาที่กลุ่มตัวเองต้องการแก้ให้ชัดที่สุด
ห้องเรียนออนไลน์ในวันแรกผ่านไปด้วยความอัดแน่น หนัก เวลาพักสั้น เสียงสะท้อนจากครั้งแรกจึงได้นำไปปรับการเรียนการสอนในครั้งต่อๆ ไปให้ผ่อนคลายยิ่งขึ้น
การเวิร์กช็อปออนไลน์ในครั้งที่สองว่าด้วยการระดมสมองคิดหาทางออกสำหรับปัญหา แต่ด้วยเพราะแต่ละทีมเตรียมไอเดียมาจากบ้านตั้งแต่ส่งข้อเสนอเข้ามา เวิร์กช็อปครั้งนี้จึงเน้นไปที่การนำไอเดียของตนเองมาทบทวนอีกครั้งว่ามีจุดแข็งจุดอ่อนอย่างไรบ้าง และคุณค่าของนวัตกรรมที่คิดค้นขึ้นมาคืออะไร
และเพื่อปรับไม่ให้เหนื่อยล้ากับงานตรงหน้ามากเกินไป กิจกรรม Ice Breaking จึงเน้นไปที่นำผู้เข้าร่วมทุกคนไปพูดคุยและแชร์ความคิดเห็นต่างๆ ในประเด็นที่หลากหลาย มีเบา มีหนักสลับกันไป แต่ให้หลุดไปจากเนื้อหาหลัก
ครั้งที่สามเป็นการเรียนแผนธุรกิจผ่าน Business Model Canvas โดยมีวิทยากรที่เชี่ยวชาญด้านนี้โดยเฉพาะมาให้ความรู้ แต่ด้วยความที่เนื้อหาค่อนข้างลึกและซับซ้อน ประเด็นที่เน้นย้ำในการสอนครั้งนี้จึงอยู่ที่การกระตุ้นให้แต่ละกลุ่มไม่ลืมมิติมุมมองด้านธุรกิจซึ่งเป็นอีกหัวใจสำคัญที่จะทำให้นวัตกรรมเกิดขึ้นและอยู่รอดต่อไปในระยะยาว
เมื่อดำเนินมาถึงจุดที่แต่ละทีมเห็นปัญหาชัด มีไอเดียในการแก้ปัญหา มองมิติทางธุรกิจ การเวิร์กช็อปครั้งสุดท้ายจึงปิดท้ายด้วยการคิดเรื่องผลกระทบทางสังคม (Social Impact) โดยใช้เครื่องมือ Theory of Change เมื่อแต่ละทีมเห็นผลลัพธ์ทางสังคมที่ต้องการแล้ว จึงให้แต่ละทีมวางแผนแบบย้อนกลับว่าต้องการเห็นอะไรจากภาพกว้างสุด 1 ปี ลดลงมาที่ 6 เดือน จากนั้นจึงลงรายละเอียดว่าในแต่ละช่วงต้องมีแผนการทำงาน (action plan) อย่างไร เพื่อให้โครงการบรรลุเป้าหมาย
ทั้งนี้ในการเวิร์กช็อปออนไลน์ ไม่ใช่แค่การให้อินพุตเพื่อมุ่งพัฒนาโครงการนวัตกรรมเพื่อสังคมของแต่ละทีมเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่เราต้องการสร้างเครือข่ายของเยาวชนนักเปลี่ยนแปลงสังคม และในช่วงการจัดกิจกรรมก็เป็นช่วงที่สถานการณ์การเมืองของประเทศไทยกำลังร้อนแรง ทีมงานจึงถือโอกาสให้พื้นที่ในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นต่อประเด็นการเคลื่อนไหวต่างๆ บนพื้นฐานของการเคารพความคิดเห็นและเชื่อในพื้นที่ปลอดภัย เพราะหากข้ามประเด็นเรื่องปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นในสังคม ก็อาจยากที่ทั้งผู้เข้าร่วมและทีมงานจะตอบตัวเองได้ว่าเราจะสร้างสรรค์นวัตกรรมสังคมไปเพื่ออะไร
แรกเราพบกัน
หนึ่งในวัตถุประสงค์หลักของ Youth Co:Lab คือการสร้างเครือข่ายระหว่างผู้เข้าร่วม ผู้สนับสนุน และผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด
การเรียนรู้เกี่ยวกับเครื่องมือใช้สำหรับพัฒนางานสิ้นสุดไปตั้งแต่บนแพลตฟอร์มออนไลน์แล้ว แต่การรู้จักและแลกเปลี่ยนกันแบบพบหน้าเพิ่งเกิดขึ้นในภายหลัง จึงเป็นที่มาของการจัดงานให้ผู้เข้าร่วมได้พบกันตัวต่อตัวด้วย
ผู้เข้าร่วมหลายคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า การพบหน้าคร่าตาเพื่อนร่วมเวิร์คช็อปนับเป็นส่วนที่ประทับใจที่สุด เขาได้พบปะคนที่มีความหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นชาวปกากญอจากแม่ฮ่องสอน เยาวชนมุสลิมจากสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ไปจนถึงอีกหลายคนที่มาจากภาคกลางที่มากไปด้วยความถนัดและความสนใจ ซึ่งการได้แลกเปลี่ยนมุมมองและประสบการณ์ทำให้ได้เปิดกว้างทางมุมมอง ได้รับรู้ภูมิหลังและบริบททางวัฒนธรรมที่หลากหลาย
ไอเดียเป็นจริงได้
ในงานพบปะระหว่างผู้เข้าร่วม มีการเชิญผู้ประกอบการสังคมที่ประสบความสำเร็จทั้งทางธุรกิจและทางสร้างผลกระทบทางสังคมมาแบ่งปันประสบการณ์ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้หลายคนมุ่งมั่นที่จะไปต่อ ผู้ประกอบการวิทยากรบางคนก็เคยผ่านเวที Youth Co:Lab มาเช่นกัน เช่น คุณธนากร พรหมยศ ผู้ร่วมก่อตั้ง Yonghappy (ํYouth Co:Lab alumni 2017) และคุณสโรชา เตียนศรี ผู้ร่วมก่อตั้ง Pa’ Learn (ํYouth Co:Lab alumni 2019) เป็นต้น
ก่อนจะเข้าสู่การพิชในวันสุดท้าย เป็นการทบทวนสถานะโครงการของแต่ละทีม อีกทั้งยังมีการแทรกเนื้อหาเรื่องเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนเข้าไป โดยเให้แต่ละทีมได้ลองมองโครงการของตัวเองผ่านมุมมองการไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และวิเคราะห์โครงการของตัวเองในมุมผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ถึงแม้ว่า SDGs จะไม่ใช่ภาคบังคับที่ทุกทีมต้องหยิบไปใช้ในตอนนี้ เพราะขึ้นอยู่กับความพร้อมของแต่ละโครงการ แต่ก็เป็นการจุดประกายให้หลายคนได้ทบทวนงานตนเองว่าสิ่งที่คิดขึ้นมาสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืนและเข้าถึงทุกคนหรือไม่
หนึ่งในผู้เข้าร่วมให้ความเห็นว่าการเรียนรู้เรื่อง SDG คือหนึ่งในสิ่งที่เธอประทับใจที่ได้เรียนรู้ที่สุด เพราะมันช่วยให้เธอมองสิ่งที่กำลังจะทำในมิติที่กว้างขึ้น หาความเป็นไปได้ที่งานเธอจะมีส่วนช่วยอย่างครอบคลุมยิ่งขึ้น
นำเสนอผลงาน
จุดสิ้นสุดของงาน phase แรกอยู่ที่การพิชงานให้คณะกรรมการและผู้เข้าร่วมคนอื่นๆ ให้เข้าใจและเห็นประโยชน์ของนวัตกรรมทางสังคมที่พัฒนาขึ้นตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา โดยมีข้อจำกัดด้านเวลาเป็นความท้าทาย
ก่อนที่จะถึงการนำเสนอผลงานจริง ได้มีการแนะนำประเด็นที่ควรกล่าวถึงให้ครอบคลุม และยกตัวอย่างวิธีการนำเสนอในรูปแบบต่างๆ ที่มีประสิทธิภาพ ทั้งนี้การแนะนำเป็นเพียงแนวทางเท่านั้น ผู้เข้าร่วมสามารถปรับ เลือกใช้ และออกแบบการนำเสนอได้ตามที่ทีมเห็นว่าเหมาะสม เพราะเป้าหมายของการนำเสนอนี้ไม่ใช่แค่เพียงชิงรางวัลเท่านั้น แต่เป็นโอกาสในการสะท้อนปัญหาที่แต่ละทีมให้ความสำคัญซึ่งหลายทีมเป็นปัญหาใกล้ตัวที่ตนหรือคนรู้จักพบเจอ สรุปรวบยอดความคิดที่ได้พัฒนาและเรียนรู้ตลอดทั้งโครงการเพื่อแบ่งปันให้กับทุกคนได้รับฟัง
ทั้ง 10 ทีม ได้พัฒนามาถึงจุดที่มีแผนงานพร้อมลงมือไปต่อเพื่อให้งานบรรลุเป้าหมาย แม้สุดท้ายมีเพียง 5 ทีมที่ได้ทุนสนับสนุนจากโครงงานให้ทดลองทำงานต่อไปอีก 3 เดือน แต่สิ่งที่ทั้ง 10 ทีมได้คิดและพัฒนาตลอดทางที่ผ่านมาย่อมไม่เสียเปล่า สามารถต่อยอดได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นทดลองทำต่อกันเองในทีม หาพาร์ตเนอร์ใหม่ๆ ที่อาจพบเจอในงานเพื่อสานต่อ หรือแม้แต่ส่งชิงทุนเข้าร่วมกิจกรรมอื่นๆ ต่อไป
โครงการนี้จะไม่สามารถดำเนินมาถึงจุดนี้ได้ หากไม่ได้รับความร่วมมือจากเยาวชนที่มีความตั้งใจเขียนใบสมัครเข้าร่วมโครงการ ขอขอบคุณพาร์ตเนอร์ ได้แก่ Citi Foundation UNICEF Thailand Institute of Justice True Incube และสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ ที่มีส่วนร่วมในการจัดงานและเติมองค์ความรู้หลากหลายมิติให้แก่ผู้เข้าร่วม และขอขอบคุณกระบวนกรคุณภาพจาก Hand Up Network และ Changefusion ที่ร่วมบ่มเพาะและสนับสนุนเยาวชนทั้ง 10 ทีมไปด้วยกันตลอดทาง
เรื่องราวของ 5 ทีมที่ได้รับทุนต่อมีที่มาที่ไปอย่างไร นวัตกรรมของพวกเขาตอบโจทย์ตรงใจใคร ช่วยแก้ปัญหาอะไรได้บ้าง โปรดติดตามได้ในบทความถัดๆ ไป