- Published Date: 04/01/2022
- by: UNDP
สร้างตลาดท้องถิ่นให้โตด้วย Origi แพลตฟอร์มที่จะฟื้นคุณค่าของงานคราฟท์อย่างยั่งยืน
โครงการ Youth Co:Lab ประจำปี 2021 ถือเป็นครั้งแรกของ UNDP ที่จัดงานแบบออนไลน์ 100% เนื่องจากสถานการณ์ของวิกฤตโรคระบาดในเวลานั้นยังคงรุนแรงเกินกว่าจะออกมาเจอกันได้อย่างสบายใจ ถึงแม้ว่าจะมีเยาวชนบางกลุ่มพบเจอข้อจำกัดในการเข้าถึงอินเตอร์เน็ตอยู่บ้าง แต่เรากลับพบว่าการเทรนนิ่งแบบออนไลน์นั้นช่วยให้ทุกทีมที่สมัครเข้ามามีเวลาโฟกัสอยู่กับโปรเจกต์ของตัวเองโดยไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง พวกเขาแปลงเวลาจากที่เคยต้องนั่งรถให้เป็นเวลาคุยงานหรือลงพื้นที่เพื่อหาข้อมูลมากขึ้น ถึงเวลานี้คงปฏิเสธไม่ได้แล้วว่าเทคโนโลยีกลายเป็นปัจจัยที่ 5 ซึ่งมีความสำคัญในการดำเนินชีวิตของทุกคน เทคโนโลยียังช่วยลดความเหลื่อมล้ำในสังคมได้ ใครที่เข้าถึงอินเทอร์เน็ตก็สามารถเข้าถึงโอกาสในการเรียนรู้ โอกาสในการสร้างรายได้ หรือโอกาสแสดงอัตลักษณ์ของตัวเองให้เป็นที่รู้จักในสังคม
‘Origi’ หนึ่งในทีมที่ผ่านเข้ารอบ 5 ทีมสุดท้ายโครงการ Youth Co:Lab 2021 เกิดจากการรวมตัวของเพื่อน 3 คนที่รู้จักกันผ่านกิจกรรมอาสาสมัครสอน Design Thinking ‘ซังซัง’ หนึ่งในสมาชิกของทีมเล่าให้ฟังว่าเธอเคยสมัครเข้าร่วมโครงการนี้มาแล้วกับสมาชิกทีมเก่าเมื่อปี 2017 แต่ไม่ผ่านเข้ารอบ ครั้งนี้เลยชวน พรีม กับ อาย สมาชิกใหม่ 2 คนมานำเสนอโครงการดู เพราะพวกเธอทั้ง 3 มีอุดมการณ์ที่อยากเปลี่ยนแปลงสังคมไม่ต่างกัน พวกเขาเล่าให้เราฟังว่าตอนรู้ข่าวประกาศรับสมัครก็ได้มีโอกาสคุยกันและให้เวลาแต่ละคนไปสร้างไอเดียของตัวเองมา หลังจากนั้นเอามานำเสนอกับเพื่อนในทีมเพื่อให้โปรเจกต์นี้เป็นความคิดของทุกคนจริงๆ ไอเดียหนึ่งที่ทั้ง 3 มีร่วมกันก็คือการใช้ ความสามารถทางด้านกลยุทธ์ทางธุรกิจและการตลาดเพื่อช่วยพัฒนาสินค้าชุมชน เพราะแต่ละคนต่างมีความถนัดในเรื่องนี้ ตั้งแต่การตลาด การเงิน และงานสร้างแบรนด์ให้ยั่งยืน
‘อาย’ เล่าให้เราฟังว่าแรงบันดาลใจที่อยากให้พวกเธอทั้ง 3 คนพัฒนาโปรเจกต์นี้ขึ้นมาคือสถานการณ์วิกฤติโควิด 19 แม้จะมีบางธุรกิจที่ไม่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจนี้มากนัก แต่แน่นอนยังมีผู้ผลิตสินค้าในชุมชนต่างๆ ในไทยที่ประสบปัญหาในการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ขณะที่พวกเธอทั้ง 3 ทำโครงการนี้ ‘อาย’ คือสมาชิกที่กำลังอาศัยอยู่ในประเทศอเมริกา เธอเป็นคนหนึ่งที่รู้สึกว่าการสื่อสาร การสร้างแบรนด์ และการใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์นั้น สามารถช่วยลดอุปสรรคและเพิ่มโอกาสที่ทุกคนควรได้รับ ด้วยเหตุนี้ Origi จึงถือกำเนิดขึ้นด้วยความตั้งใจอันแรงกล้า
เพื่อให้เข้าใจวิธีการทำงานของทีมนี้แบบง่ายๆ ‘พรีม’ ขออาสาอธิบายว่า Origi จะแบ่งการทำงานออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกคือการลงพื้นที่และติดต่อกับชุมชนผู้เป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นโดยเฉพาะสินค้าแบบงานคราฟท์ที่ทีมนี้อยากโฟกัสเป็นพิเศษ พวกเขารู้สึกว่าสินค้าในแต่ละท้องถิ่นนั้นมีเสน่ห์อย่างมาก และรุ่มรวยด้วยวัฒนธรรมอันซับซ้อนซึ่งส่งผ่านกันรุ่นต่อรุ่นตามกาลเวลา การติดต่อไปในแต่ละชุมชนไม่เพียงแค่สอบถามเรื่องสินค้าเท่านั้น พวกเขายังลงลึกไปเรื่องปัญหาของการสร้างแบรนด์ และอธิบายให้ผู้ผลิตแต่ละกลุ่มเข้าใจว่า Origi คืออะไร จะมาช่วยทำหน้าที่อย่างไร ให้ชุมชนสามารถขายผลิตภัณฑ์ของตเองได้กว้างไกลขึ้น
ในขณะที่อีกส่วนหนึ่งคือการสร้าง Digital Asset ของตัวเอง ทั้งแพลตฟอร์มแบบโซเชียลมีเดีย และเว็บไซต์หลักซึ่งถือเป็นหน้าร้านของการขาย ‘พรีม’ อธิบายให้ฟังต่อว่าไม่มีข้อจำกัดหรือสิ่งตายตัวสำหรับสินค้าที่จะเอามาลง จากการพูดคุยเธอพบว่าความต้องการของแต่ละชุมชนนั้นมีหลากหลายมาก บางชุมชนมีกำลังในการผลิตที่ดี แต่แบรนด์ไม่แข็งแรง พวกเธอก็จะเข้าไปช่วยวางแผนให้ บางชุมชนอยากเป็นผู้ผลิตอย่างเดียวแต่ไม่อยากสร้างแบรนด์ ก็จะใช้แบรนด์ Origi ในการขายผลิตภัณฑ์เพื่อสร้างการจดจำให้กับลูกค้าและสร้าง Brand Asset ไปในตัว ฉะนั้นจุดแข็งของ Origi คือการเริ่มจากสิ่งที่มีอยู่แล้ว จากนั้นเติมเต็มสิ่งที่ขาดเพื่อสร้างระบบนิเวศของตลาดสินค้าชุมชนให้แข็งแรง โดยมีแพลตฟอร์มดิจิทัลเป็นเครื่องมือในการขายสำหรับเข้าถึงลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ
เมื่อถามถึงความคาดหวังถึงผลการดำเนินงานในระยะเวลาที่กำหนด ‘ซังซัง’ ตอบว่าสิ่งที่พวกเธออยากทำก็คือโปรโตไทป์ของโปรเจกต์นี้ โดยจะเริ่มหาผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นมาเป็นตัวทดลองก่อนซึ่งอาจเป็นหมวดอาหารเพราะเชื่อว่าหาได้ง่ายและขายได้ง่ายสุด โดยจะโฟกัสไปที่สินค้าจากภาคเหนือและภาคอีสานเพราะมีกลุ่มชุมชนที่เคยติดต่อไว้ก่อนหน้านี้แล้ว หลังจากเทสต์แล้วก็จะลองนำผลมาสรุปว่า ผลิตภัณฑ์หมวดไหนมีศักยภาพในการเติบโตมากที่สุด และจะได้นำมาปรับปรุงแผนการดำเนินงานของ Origi ต่อไป
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นถูกหยิบยกขึ้นมาให้เป็นตัวเอกของชุมชนเพื่อเป็นตัวกลางในการสื่อสารบางอย่าง แต่ก็ไม่บ่อยครั้งนักที่จะมีการสร้างระบบครบวงจรเพื่อส่งเสริมความยั่งยืนกับให้เอกลักษณ์แห่งท้องถิ่นเหล่านี้ เพราะไม่ใช่เพียงกำไรและความมั่งคั่งที่ทุกคนแสวงหา แต่คือการต่อชีวิตให้ประดิษฐกรรมในท้องที่ยังคงอยู่ โดยมีฐานลูกค้าประจำเป็นผู้สนับสนุนให้ขับเคลื่อนต่อไปได้ในอนาคต พวกเธอทั้ง 3 คนยังขอเสริมในช่วงสุดท้ายของการคุยด้วยว่าอยากให้ Origi เป็นตัวผลักดันชุมชน เพิ่มความเท่าเทียม และอยากให้สินค้าเหล่านี้มีคุณค่าในสายตาของคนไทยด้วยกันเอง สัญญาว่าจะทำอย่างเต็มที่และมีความฝันจะผลักดันให้สินค้าออกไปเฉิดฉายในระดับโลกได้ หากใครกำลังอ่านบทความนี้แล้วอยากนำเสนอผลิตภัณฑ์ของชุมชนตัวเองหรือชุมชนที่รู้จัก พวกเธอฝากบอกว่ายินดีมากๆ และรอการติดต่อเข้าไปอยู่เสมอ