• Published Date: 27/09/2019
  • by: UNDP

เราได้เรียนรู้อะไรบ้างจากกระบวนการสร้างแพลตฟอร์มนวัตกรรมทางสังคมใน 3 จังหวัดชายแดนใต้?

 
เมื่อได้ยินคำว่า ‘นวัตกรรม’ หรือโดยเฉพาะ ‘นวัตกรรมเพื่อสังคม’ หลายคนมักคิดว่าเป็นเรื่องของเทคโนโลยีใหม่ ๆ การบริการภาครัฐ หรือวิสาหกิจเพื่อสังคม แต่จริง ๆ แล้ว นวัตกรรมสังคม ไม่ได้มีข้อจำกัดอยู่เพียงเท่านั้น แต่หมายความกว้างไปถึงสิ่งใหม่ ๆ กระบวนการใหม่ ๆ วิธีการใหม่ ๆ ที่ต่างไปจากเดิม เพื่อหวังมุ่งสร้างการเปลี่ยนแปลงระบบสังคม (systemic change) ซึ่งแน่นอนว่ารวมถึงการเปลี่ยนแปลงในระดับโครงสร้างทางสังคมในพื้นที่ที่มีความขัดแย้งรุนแรงด้วย

สำหรับคนในพื้นที่ขัดแย้ง ‘นวัตกรรม’ หรือ ‘การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม’ อาจดูเป็นเรื่องไกลตัวและแยกส่วนจาก ‘การสร้างสันติภาพ’ แต่จากการศึกษาและถอดบทเรียนจากแคว้นบาสก์ของสถาบัน Agirre Lehendakaria Center for Social and Political Studies (ALC) ซึ่งนำโดย Gorka Espiau พบว่าประเด็นการจัดการความขัดแย้ง การสร้างสันติภาพ สิทธิมนุษยชน และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ล้วนมีความเกี่ยวเนื่องกัน การใช้นวัตกรรมสังคม หรือการสร้างพื้นที่กลาง (Platform) นวัตกรรมสังคมในพื้นที่ขัดแย้งสามารถช่วยพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นกระบวนการที่นำไปสู่การเกิด ‘สันติภาพ’ ได้ เพราะสันติภาพไม่ได้หมายเพียงถึงสถานการณ์ที่ปราศจากความรุนแรง แต่มีความหมายกว้างขวางครอบคลุมถึงความมั่นคงของมนุษย์ในทุกมิติ รวมถึงมิติด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมด้วย หรือรวมเรียกว่าเป็น “สันติภาพที่ยั่งยืน หรือ Sustainable Peace”  

 

 
UNDP ได้มีโอกาสร่วมทำงานกับ Gorka Espiau และ Iziar Moreno ผู้เชี่ยวชาญด้านนวัตกรรมสังคมจากแคว้นบาสก์ ในการแนะนำกระบวนการทำงานของนวัตกรรมสังคมให้กับจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ยะลา-ปัตตานี-นราธิวาส)  และออกแบบแพลตฟอร์มนวัตกรรมสังคมร่วมกันกับคนในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคประชาสังคม มหาวิทยาลัย และสตาร์ทอัพ โดยการเดินทางไปยังภาคใต้ของเราในครั้งนี้เริ่มต้นมาจากความอยากรู้และอยากทดลองว่าแพลตฟอร์มนวัตกรรมสังคมจะสามารถกลายเป็นพื้นที่ในการกระตุ้นให้เกิดความคิดริเริ่มใหม่ ๆ ในพื้นที่ที่กำลังเผชิญกับปัญหาจากสถานการณ์ต่าง ๆ ได้จริงหรือไม่ และมันจะสามารถเชื่อมโยงประเด็นการพัฒนาในหลายๆ มิติเข้าด้วยกันได้อย่างไร

 

เกิดอะไรขึ้นบ้างในเวิร์กชอป

 

1. แลกเปลี่ยนประสบการณ์จากแคว้นบาสก์

Gorka ได้วิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมในแคว้นบาสก์ พื้นที่ที่เคยมีความขัดแย้งทางสังคมและการเมืองอย่างรุนแรงจนส่งผลให้เศรษฐกิจของ แคว้นล่มสลาย หากในปัจจุบันบาสก์กลับมี GDP ต่อหัวสูงเป็นอันดับต้น ๆ ในยุโรปและเป็นยังผู้นำเรื่องด้านศึกษาอีกด้วย ความสำเร็จด้านการพัฒนาของแคว้นบาสก์นี้ได้รับขนานนามว่าคือ Basque Transformation หรือการแปรเปลี่ยนแคว้นบาสก์ให้กลายเป็นเมืองแห่งการพัฒนา

การเรียนรู้จากแคว้นบาสก์สามารถสรุปได้อย่างคร่าว ๆ ว่า การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากการที่ประชาชนในบาสก์มี ‘เป้าหมายร่วมกัน’ คือปรารถนาจะลบภาพ ‘สัญลักษณ์ของความขัดแย้ง’ ออกจากความเป็นแคว้นบาสก์ และต่างเชื่อว่า ‘การเปลี่ยนแปลงเป็นไปได้’ ทำให้เรื่องที่ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวข้องกัน อย่างการเชิญ Frank Gehry มาสร้าง Gugenheim Bilbao ให้เป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนแปลง การก่อตั้งสหกรณ์คนทำงานอย่าง Mondragon หรือที่กลุ่มเชฟในพื้นที่ดึงเอาอาหารและวัตถุดิบพื้นเมืองมาประยุกต์ในสไตล์โมเดิร์น ฝรั่งเศส จนได้รับการยอมรับจากมิชลิน  และกิจกรรมอื่น ๆ อีกมากมาย กลายเป็นฟันเฟืองที่เชื่อมโยงกันและส่งผลให้สภาพเศรษฐกิจและสังคมของแคว้นพัฒนาอย่างรุดหน้า จนฝ่ายกองกำลังสู้รบ  Euskadi ta Askatasuna หรือ ETA ตัดสินใจวางอาวุธ นำไปสู่สันติภาพในท้ายที่สุด

สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถติดตามการสร้างแพลตฟอร์มนวัตกรรมสังคมในพื้นที่ขัดแย้ง การถอดบทเรียนจากแคว้นบาสก์อย่างละเอียดได้ในบทความของเราต่อไป  

 

 

2. ลองเชื่อมโยงสิ่งใหม่ ๆ’ ที่เราได้ทำในพื้นที่

ผู้เข้าร่วมได้ลองช่วยกันคิดว่ากิจกรรม โครงการ กระบวนการที่เราเคยได้เพื่อพัฒนาพื้นที่ของตัวเองมีอะไรบ้าง โดยมีการคิดอย่างครอบคลุม 5 ระดับ

    1. กิจกรรมชุมชน (community actions) เช่น การนั่งหารือกันในมัสยิด จนได้ข้อสรุปเป็นการรับบริจาคขยะ แทนการรับบริจาคเงิน และนำไปขายเพื่อหาทุนช่วยเหลือเด็กกำพร้า

    2. วิสาหกิจขนาดเล็กกลาง (small-medium scale entrepreneurship) เช่น การก่อตั้ง Fiin Delivery บริการส่งอาหารในพื้นที่

    3. วิสาหกิจขนาดใหญ่ที่เป็นความร่วมมือระหว่างรัฐเอกชน (large scale public-private partnership) เช่น ความร่วมมือระหว่างรัฐและเอกชนในการจัดการทรัพยากรน้ำ

    4. การบริการสาธารณะ (public service) เช่น การจัดรถพยาบาลในหมู่บ้านเพื่อรับ-ส่งผู้ป่วยไปโรงพยาบาลตลอด 24 ชั่วโมง

    5. กฎระเบียบใหม่ ๆ  (new regulation) เช่น กฎฌาปนกิจที่เป็นข้อตกลงในหมู่บ้านเรื่องการขอความร่วมมือทุกคนร่วมช่วยเหลือการจัดงานศพเมื่อมีคนเสียชีวิต

การได้คิดอย่างเป็นระดับนี้ทำให้ผู้เข้าร่วมเริ่มเห็นความเชื่อมโยงของเรื่องราวและเริ่มที่จะมีภาพที่เห็นร่วมกันว่าแท้จริงแล้วนวัตกรรมไม่ใช่สิ่งที่ไกลตัวพวกเขา หากแต่เป็นสิ่งที่อาจทำอยู่แล้วในชุมชน

 

“การพัฒนาอย่างยื่งยืนในพื้นที่ขัดแย้งมันเกี่ยวข้องกับวิธีที่เราเชื่อมโยงสิ่งที่เกิดขึ้นในพื้นที่ซึ่งอาจถูกซ้อนเร้นโดยความขัดแย้งและความรุนแรง และวิธีการที่เราจะคิดขึ้นมาเป็นทางเลือกในการสร้างการเปลี่ยนแปลง

 

3. เรียนรู้ที่จะรู้จัก ฟัง’ 

กระบวนการแรกที่มีความสำคัญในการสร้างการเปลี่ยนแปลงคือ “กระบวนการรับฟัง”

เราต้อง ‘ฟัง’ ในสิ่งที่อาจไม่ถูกพูดออกมาเพื่อค้นหาสาเหตุของการกระทำ ความเชื่อ และคุณค่าเบื้องหลัง และเชื่อมโยงให้เห็นความเกี่ยวข้องกัน (collective sensemaking) ที่สำคัญคือการค้นหาว่าคนในชุมชนเชื่อในการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ เพราะความเชื่อนี้สามารถส่งผลกระทบโดยตรงต่อการพัฒนาได้ เช่น บางชุมชนที่แม้อาจได้รับการสนับสนุนมากมายจากรัฐ แต่คนในชุมชนไม่เชื่อในการเปลี่ยนแปลงเลยเพราะได้ถูกสั่งสอนมาว่าจะประสบความสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อได้ออกไปทำงานที่เมืองหลวงเท่านั้น ในทางกลับกัน หากชุมชนใดมีความเชื่อว่าความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้ ก็จะแสวงหาโอกาสจากต้นทุนที่มี เช่นอาจให้มีคนมาเปิดกิจการเล็ก ๆ ในพื้นที่และเริ่มหาโอกาสแก้ไขปัญหาการว่างงาน เป็นต้น

ผู้เข้าร่วมได้เรียนรู้ความสำคัญของการรับฟังนี้ พร้อมคิดทบทวนว่าประเด็นใดบ้างที่เป็นความท้าทายและโอกาสในพื้นที่ และเชื่อมโยงประเด็นเหล่านั้นด้วยกัน

 

4. Co-creation ร่วมคิด ร่วมออกแบบ ร่วมทำ

ผู้เข้าร่วมได้มีโอกาสทดลองออกแบบและคิดไอเดียนวัตกรรมสังคมร่วมกัน เพื่อนำไปลงมือทดลอง (prototype) ต่อไป

กระบวนการสร้างการมีส่วนร่วมในทุกภาคส่วนนี้คือกระบวนการสำคัญที่ทำให้คนเกิดความรู้สึกมีส่วนร่วมและรู้สึกเป็นเจ้าของ สิ่งสำคัญของการ co-create คือต้องมีคนจากทั้ง 5 ระดับที่กล่าวไปข้างต้นเข้าร่วมด้วย เพื่อให้มั่นใจว่าสิ่งที่ทำจะสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างหรือระบบได้จริง

ตัวอย่างไอเดียและเรื่องราวน่าสนใจจากคนในพื้นที่

    • การเกษตร อาหาร และการท่องเที่ยว เป็นประเด็นโอกาสที่ผู้เข้าร่วมหลายคนเห็นพ้องต้องกันในการต่อยอดการพัฒนา ทุกคนมีความภาคภูมิใจในเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมและทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่ของตน แต่ยังไม่สามารถใช้ทรัพยากรเหล่านี้ได้อย่างเต็มที่ เนื่องจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ภาพลักษณ์ของพื้นที่ไม่ดี ส่งผลให้นักท่องเที่ยว นักธุรกิจเกิดความกลัวที่จะเข้ามา ในขณะเดียวกันสามจังหวัดเองก็มีคนที่มีความสามารถหรือกิจกรรมน่าสนใจจำนวนมากแต่กลับ ไม่ได้รับการนำเสนอออกไปในสื่อเท่ากับภาพความรุนแรง

    • ผู้เข้าร่วมเห็นโอกาสในการส่งเสริมการส่งออกผลไม้สดและผลไม้แปรรูป เช่น ลองกอง ทุเรียน ไปจังหวัดหรือประเทศข้างเคียง ในจังหวัดนราธิวาส ประชาชนมีรายได้หลักจากการกรีดยาง ซึ่งทางการพยายามส่งเสริมให้คนปลูกพืชผักผลไม้อื่นเพื่อให้มีแหล่งรายได้เพิ่มเติม หากแต่การกรีดยางถูกมองว่าเป็นวิถีชีวิตที่ได้รับมาจากบรรพบุรุษ ซึ่งคนในท่องถิ่นก็ยังคงอยากรักษาความรู้และวัฒนธรรมนี้ไว้ จะทำอย่างไรให้เกิดความสมดุลระหว่างการธำรงไว้ซึ่งอัตลักษณ์และการสร้างโอกาสใหม่ๆ ทางเศรษฐกิจ และให้การแก้ปัญหาของภาครัฐตอบโจทย์ความต้องการของคนในชุมชนอย่างแท้จริง?

    • ผู้เข้าร่วมเห็นความเป็นไปได้ในการสร้างความร่วมมือกับชุมชนอื่น ๆ ในพื้นที่เช่นการทำเส้นทางการท่องเที่ยวของจังหวัดให้ต่อเนื่องกัน และมุ่งเน้นการท่องเที่ยวในแบบที่ชุมชนจะได้รับผลประโยชน์ร่วมด้วย

    • ในบางพื้นที่ สถานการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ผู้คนท้อแท้และสิ้นหวัง ทำให้ยากที่จะจัดกิจกรรมสร้างสรรค์ใด ๆ นักกิจกรรมสังคมหลายคนก็หยุดการเคลื่อนไหวการทำงานพัฒนาต่าง ๆ มีการเสนอแนวคิดการตั้ง PeaceLab ขึ้นในพื้นที่ และปรับใช้เทคโนโลยีและสื่อเพื่อสนับสนุนการเรียนรู้ด้านสิทธิมนุษยชนและสันติภาพ

 

เครื่องมือสำหรับกระบวนการสร้างแพลตฟอร์มนวัตกรรมสังคม (Tools used for building social innovation platform)

 

 

3 สิ่งที่เราได้เรียนรู้จากกระบวนการสร้างแพลตฟอร์มนวัตกรรมทางสังคมในพื้นที่ขัดแย้ง

 

1. การฟังและสะท้อนเพื่อการเปลี่ยนแปลง

สิ่งที่สำคัญที่สุดในกระบวนการนี้คือการที่เราได้ฟังบุคคลจาก “ทุกภาคส่วน” และจะดียิ่งขึ้นไปอีก ถ้าเราสามารถฟังบุคคลที่มาจากต่างพื้นฐาน ต่างประสบการณ์ ต่างอาชีพ แต่อาศัยอยู่ในเมืองเดียวกัน มาพูดถึงเมืองของเราผ่านคนละมุมมอง ซึ่งเวิร์กชอปในครั้งนี้ เราก็มีผู้เข้าร่วมมาจากหลากหลายกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็น ผู้นำชุมชน กลุ่มธุรกิจ Startup และภาคประชาสังคม

เริ่มจากคำถามที่ว่า “หากเราจะอธิบายจังหวัดปัตตานี/ยะลา/นราธิวาส ให้กับคนที่ไม่รู้จักฟัง เราจะเล่าถึงจังหวัดเราว่าอย่างไร?” คำตอบของแต่ละคนก็สะท้อนให้เราเห็นถึงความรุ่มรวยทางวัฒนธรรมและทรัพยากรในพื้นที่

เราได้รับฟังเรื่องราวของสามจังหวัดชายแดนภาคใต้จากมุมมองที่ต่างกัน และในความต่างนี้เอง เรากลับพบความเชื่อมโยงกันอย่างน่าสนใจ นั่นคือ พวกเขารู้สึกเชื่อมโยงกันด้วยความภาคภูมิใจในอัตลักษณ์ที่หลากหลายของพื้นที่ ทั้งมุสลิม พุทธ จีน และเขารู้สึกว่าแม้จะมีความหลากหลายทางวัฒนธรรมและความเชื่อ แต่ยังอยู่ร่วมกันและแบ่งปันทรัพยากรจากพื้นที่เดียวกันได้ เป็นสเน่ห์ของคนสามจังหวัด ดังที่สะท้อนได้จากคำพูดหนึ่งของบทสนทนาที่ทำให้เราเห็นภาพได้ชัดคือ “กิจศาสนาเราแยกกันทำ กิจสังคมเรามาร่วมกัน”

 

 
หลังจากนั้น ได้มีการตั้งคำถามที่เข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ อย่าง “คุณคิดว่ามีปัญหาอะไรในพื้นที่ ที่คนในจังหวัด ไม่เคยพูดถึง แต่รู้สึกว่ามันมีอยู่” บทสนทนาที่เกิดขึ้น ทำให้เราไม่ได้มองเห็นภาพของสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เพียงแค่ผิวเผินตามภาพจำที่มีแต่ความรุนแรง กลับทำให้เราได้เห็นภาพความเชื่อมโยงทางมิติเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และการร้อยเรียงของปัญหาตั้งแต่ต้นตอจนถึงปลายทาง

จากการสังเกตบรรยากาศในวงสนทนา เราพบว่าการมีพื้นที่รับฟัง ให้แต่ละคนได้เล่าถึงความรู้สึกนึกคิด และประสบการณ์ของตัวเองในจังหวัด ทำให้ผู้เข้าร่วมรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งกับกระบวนการ และก้าวข้ามการด่วนตัดสินและสรุปวิธีการแก้ปัญหาโดยทันที เปรียบเสมือนเป็นการเชื้อเชิญให้ผู้เข้าร่วมได้เห็นความเชื่อมโยงของปัญหาผ่านเรื่องราวต่าง ๆ  โดยสิ่งสำคัญสำหรับกระบวนกรคือต้องวางใจเป็นกลาง เปิดพื้นที่ให้เป็นภาชนะว่าง ๆ ที่รองรับเรื่องเล่าต่าง ๆ โดยไม่สรุปและตัดสิน

นอกจากนี้ กระบวนการสะท้อนหลังจากฟังเรื่องเล่าต่าง ๆ และนำมาเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกัน (collective sensemaking) ผ่านแผนภาพ ก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน จุดประสงค์ในการทำขั้นตอนนี้ ไม่ใช่การเร่งรัดสรุปปัญหา แต่เป็นกระบวนการที่ทำให้ผู้ฟังได้เห็นภาพสะท้อนความเชื่อมโยงของสิ่งที่ตัวเองเล่ามา โดยกระบวนกรไม่จำเป็นต้องกังวลว่าลูกศรที่ลากเชื่อมเรื่องราวในแผนภาพจะถูกหรือไม่ เพราะถึงแม้จะมีส่วนที่ผิด มันก็จะกลายเป็นพื้นที่ให้ผู้เข้าร่วมได้แก้ไขให้ถูกต้อง กระบวนการทำและแก้ไขแผนภาพนี้เป็นกระบวนการร่วม คือผู้เล่าทุกคนทำร่วมกัน เพื่อให้เรื่องเล่าของทุกคนมาอยู่ในภาพเดียวกันได้

 

 

2. จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงเกิดจากความเชื่อร่วมกันว่า “การเปลี่ยนแปลงเป็นไปได้”

กระบวนการรับฟังไม่ควรเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว แต่ควรเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นซ้ำไปซ้ำมา ให้เราทำความเข้าใจแล้ว ทำความเข้าใจอีก ซึ่งจะนำไปสู่การมีความเข้าใจที่ลึกซึ้งขึ้น สิ่งที่สำคัญที่สุดที่เราจะต้องจับใจความให้ได้ก่อนเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงคือ ต้องตอบให้ได้ว่า “คนในพื้นที่เชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงเป็นไปได้หรือไม่” 

คำถามนี้ดูเป็นคำถามที่ง่าย แต่การแน่ใจว่าคำตอบที่ออกมาเป็นคำตอบที่ “จริงแท้” จากใจผู้เข้าร่วมนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ง่ายเลย เพราะในพื้นที่ที่เผชิญกับความขัดแย้งและความรุนแรงอยู่ทุกวัน ผู้คนมักถูกบั่นทอนความเชื่อมั่นในการเปลี่ยนแปลง การพัฒนา และการใช้ชีวิตในเชิงบวกไปมากโขอยู่เหมือนกัน คำตอบแรกของเขาอาจจะเป็นคำว่า “ใช่ เราเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงเป็นไปได้” แต่อาจจะตามมาด้วยเงื่อนไขต่าง ๆ ซึ่งนั่นก็แสดงถึงความไม่มั่นใจต่อความเป็นไปได้ว่าจะก้าวข้ามเงื่อนไขเหล่านั้นได้หรือไม่

 

 
“แล้วถ้าคนในพื้นที่ไม่เชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงเป็นไปได้ล่ะ เราจะทำอย่างไร?”  การหันไปโฟกัสการสร้างการเปลี่ยนแปลงขนาดเล็กอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี เพื่อทำให้เห็นเป็นรูปธรรมว่าการเปลี่ยนแปลงนั้น ‘เป็นไปได้’ (หรือแสดงให้เห็นว่าจริง ๆ แล้วพวกเขาก็กำลังทำมันอยู่) คำถามนี้จึงเป็นคำถามที่สำคัญในการประเมินพื้นที่ กับท่าทีการไปต่อ ทำให้เราส่งเสริมการพัฒนาอย่างไม่ข้ามขั้น และค่อย ๆ ทำมันอย่างยั่งยืน

การเปลี่ยนแปลงแบบ “Transformative Change” จะเกิดขึ้นได้ จากความเชื่อว่า ‘การเปลี่ยนแปลงเป็นไปได้’ ของคนในพื้นที่ และความเชื่อนั้นจะทำให้เกิดการขับเคลื่อนเล็ก ๆ ในระดับปัจเจกบุคคล แต่จะส่งผลต่อระดับองค์กร และระดับพื้นที่ต่อไป การหมั่นตรวจสอบความเชื่อมั่นต่อการเปลี่ยนแปลงของผู้เข้าร่วมจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก ก่อนจะข้ามไปสู่ขั้นตอน “Co-creation” เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลง

 

 

3. การเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนต้องมาจากคนในพื้นที่ 

ในสามวันนี้ หลังจากที่เราได้ลองทำกระบวนการตั้งแต่ Listening-Co-creation-Prototype ทำให้เราได้เห็นความเชื่อมโยงของปัญหาและโอกาสในพื้นที่ เราได้สิ่งที่น่าสนใจที่น่าต่อยอดในการสร้างนวัตกรรมทางสังคมในพื้นที่ เช่น เรื่องอาหาร และวัฒนธรรม อย่างที่กล่าวไปข้างต้น อย่างไรก็ตาม การไปต่อในขั้นต่อไป ในฐานะกระบวนกร เราอาจจะต้องก้าวถอยหลังมาหนึ่งก้าว เพื่อเปิดพื้นที่ให้คนในพื้นที่ได้ตีความและสรุปด้วยความเข้าใจของเขาเอง

ถึงแม้ว่าในฐานะกระบวนกร เราอาจจะมีความคุ้นเคยกับเครื่องมือมากกว่า การตีความอาจจะง่ายกว่ามากหากกระบวนกรเป็นผู้สรุปความเชื่อมโยง ปัญหา โอกาส ความเป็นไปได้ และชี้นำทิศทางที่ผู้เข้าร่วมควรทำ แต่การสรุปแบบนั้นอาจจะทำให้เกิดการบิดเบือนความจริง เนื่องจากเป็นการตีความและสรุปให้ความหมายโดยคนนอกพื้นที่

 

 
ในกระบวนการสร้าง “Transformative Change” การขับเคลื่อนโดยคนในพื้นที่และตีความร่วมกันของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเป็นสิ่งที่สำคัญมาก และแน่นอนว่ามีความซับซ้อนกว่ามาก ดังนั้น เราจึงจำเป็นต้องออกจากความคุ้นชินในการเร่งตัดสิน เร่งด่วนสรุป และเปิดพื้นที่ในการตีความร่วมกันให้ได้มากที่สุด

แน่นอนว่าใน 3 วันนี้ คนในพื้นที่อาจจะยังไม่สามารถตีความ เชื่อมโยงและสรุปร่วมกันได้ในทันที แต่มันก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการสร้างกระบวนการเรียนรู้ให้กับคนในพื้นที่ ให้เริ่มรู้จักวิธีการและเครื่องมือใหม่ ๆ ที่จะมาใช้ในกระบวนการสันติภาพ และเราเชื่อว่ากระบวนการนี้จะนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ได้ เช่นเดียวกับที่สุดท้ายแก่นสำคัญของเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) นั้นไม่ใช่เพียงการทำงานเพื่อตอบโจทย์เป้าหมาย 17 ข้อเพียงย่างเดียว แต่ คือการพัฒนาโดย “ไม่ทิ้งใครไว้เบื้องหลัง” ซึ่งเกิดจากการมีส่วนร่วมของคนทุกภาคส่วน แน่นอนว่ากระบวนการเหล่านี้อาจจะใช้เวลามากกว่าเดิม ซับซ้อนยิ่งกว่าเดิม แต่ก็จะทำให้กระบวนการที่เกิดขึ้นนำไปสู่การพัฒนาพื้นที่และการสร้างสันติภาพอย่างยั่งยืน

 

นวัตกรรมเพื่อสังคมควรเป็นตัวกลางที่นำผู้คนมารวมกันเพื่อให้เกิดเป้าหมายและภารกิจร่วมกันในการขับเคลื่อนการพัฒนา ในฐานะชุมชนท้องถิ่น เราจำเป็นต้องเข้าใจปัญหาที่เรากำลังเผชิญและเชื่อมโยงมันกับโอกาสและแนวคิดใหม่ ๆ 

 

แผนภาพสรุปความเชื่อมโยงจากเวิร์กชอป (Mapping of the output from workshop)

 

 
ที่สำคัญที่สุด การเวิร์กชอปเพื่อร่วมสร้างแพลตฟอร์มนวัตกรรมสังคมในสามจังหวัดครั้งนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าขาดความร่วมมือจากผู้เข้าร่วมทุกคน ขอยกย่องความดีความชอบให้ตัวแทนเจ้าหน้าที่จาก

จังหวัดปัตตานี : ตำบลท่าน้ำ ตำบลบ้านนอก ตำบลน้ำบ่อ ตำบลเตราะบอน
จังหวัดยะลา : ตำบลลำใหม่ ตำบลบ้านแหร ตำบลบันนังสตา
จังหวัดนราธิวาส : ตำบลแว้ง ตำบลช้างเผือก

รวมทั้งตัวแทนสตาร์ทอัพ ภาคประชาสังคมและมหาวิทยาลัยจากทุกจังหวัด

    • CHABA Startup Group
    • Sri Yala MyHome
    • PNYLink
    • Digital4Peace
    • Saiburi Looker
    • HiGoat Company
    • MAC Pattani
    • MAC Yala
    • MAC Narathiwat
    • Hilal Ahmed Foundation
    • CSO Council of Yala
    • มูลนิธินูซันตารา
    • มหาวิทยาลัยทักษิน
    • สถาบันสันติศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์

Keywords: , , , , ,
  • Published Date: 24/09/2019
  • by: UNDP

’Nas Daily’ อินฟลูเอนเซอร์ที่ชวนทุกคนมายุติ ‘การแบ่งแยก’ ในสังคม

 

หลายคนรู้จักหนุ่มคมเข้ม Vlogger และ Influencer ที่โด่งดังที่สุดของยุคนี้อย่าง ‘Nas Daily’ จากคลิปวิดีโอสั้น ๆ เพียง 1 นาที กับวลีเด็ดที่เขาพูดทิ้งท้ายทุกคลิป “That’s one minute, see you tomorrow” เขามีชื่อจริงว่า ‘Nuseir Yassin’ หนุ่มเชื้อสายอิสราเอลและปาเลสไตน์ วัย 26 ปี ที่ออกเดินทางไปทั่วโลกและทำสารคดีระหว่างการเดินทางทุกวัน เพื่อพาทุกคนไปเปิดมุมมองโลกที่กว้างใหญ่ผ่านวิดีโอ 1 นาทีของเขา

 

 

 

“I hope this video make you angry, because it makes me angry”

ผมหวังว่าวิดีโอนี้จะทำให้คุณโกรธ เพราะมันทำให้ผมโกรธเช่นกัน

 

 

หนึ่งในวิดีโอที่น่าสนใจของเขา เปิดมาด้วยประโยคแรกว่า “ผมหวังว่าวิดีโอนี้จะทำให้คุณโกรธ เพราะมันทำให้ผมโกรธเช่นกัน” Nas Daily ในตอนนี้มีชื่อว่า ‘Segregation’ หรือการแบ่งแยก เมื่อได้ยินคำนี้เรามักจะนึกถึงการแบ่งแยกเชื้อชาติ สีผิว เพศ ศาสนา และความแตกต่างอื่นๆ ซึ่งก่อให้เกิดเป็นปัญหาความไม่เท่าเทียม การเลือกปฏิบัติ การไม่ยอมรับ และการปฏิเสธ แม้สังคมในปัจจุบันจะพัฒนาไปอย่างไร้พรมแดน ทัศนคติของผู้คนเปิดกว้างขึ้น แต่การเหยียดเชื้อชาติและสีผิวก็ยังคงเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง ทั้งในโรงเรียน สังคม หรือแม้แต่โลกโซเชียล ซึ่งก่อให้เกิดความขัดแย้งตามมา

 

 

Nuseir Yassin เริ่มเล่าเรื่องจากชีวิตวัยเด็กของเขาที่เป็นชาวอาหรับซึ่งไม่มีเพื่อนชาวยิวเลย เหตุผลไม่ใช่เพราะเขาเกลียดชาวยิว แต่เพราะชาวยิวและชาวอาหรับไม่ต้องการอยู่ร่วมกัน ในประเทศอิสราเอลที่เขาอยู่มีการแบ่งแยกไม่ต่างจากประเทศอื่นในอีกหลายมุมทั่วโลก โดยชาวยิวและชาวอาหรับจะอยู่แยกกันในย่านพักอาศัยคนละแห่ง ไม่เรียนในโรงเรียนเดียวกัน และไม่แม้แต่จะพบปะพูดคุย

นอกจากนี้ เขายังมองว่า การแบ่งแยกนั้นไม่ใช่ความผิดของใครคนหนึ่ง เพราะการที่มนุษย์หลอมรวมเข้ากับผู้คนที่มีวัฒนธรรมร่วมกันเป็นสิ่งที่ง่ายกว่า แต่การแบ่งแยกกลุ่มศาสนา หรือกลุ่มชาติพันธุ์ออกจากส่วนที่เหลือของสังคม (Self Segregation) นับเป็นเรื่องที่อันตราย เช่น ลอนดอน ซึ่งเป็นอีกเมืองหนึ่งที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติ แต่ก็มีการแบ่งแยกถิ่นที่อยู่อาศัยอย่างเห็นได้ชัด ทั้งชาวมุสลิม คนผิวขาว และคนผิวสี โดยชาวมุสลิมในลอนดอนจะมีย่านอยู่อาศัยแยกตัวออกมา พวกเขาแวดล้อมไปด้วยวัฒนธรรมของตัวเอง สังคมจึงแบ่งแยกเป็นส่วนๆ เมื่อเราไม่อยู่ร่วมกัน เราก็จะเริ่มเกลียดกัน ซึ่งนั่นทำให้การแบ่งแยกเป็นสิ่งที่น่ากลัว

 

 

อย่างไรก็ตาม การแบ่งแยกนั้นยังมีทางออกให้เห็น อย่างใน ‘สิงคโปร์’ ซึ่งเป็นประเทศหนึ่งที่มีผู้คนหลากหลายเชื้อชาติ ทั้งมาเลเซีย จีน และอินเดีย โดยกว่า 81 % อาศัยอยู่ร่วมกันในบ้านที่จัดสรรโดยรัฐ (public housing) ซึ่งรัฐบาลสิงคโปร์ออกกฎหมายบังคับให้ ในทุกอพาร์ทเมนต์ 100 แห่งนั้น มีชาวจีนอาศัยอยู่ 74 ครอบครัว (74 %) ชาวอินเดีย 13 ครอบครัว (13 %) และชาวมาเลเซีย 13 ครอบครัว (13 %) ทำให้ที่อยู่อาศัยไม่ได้มีเพียงเชื้อชาติใดเชื้อชาติหนึ่งแบบ 100 % และเกิดการผสมรวมทางวัฒนธรรมอย่างน่ามอง ซึ่ง Jun Xiang ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนานโยบายที่อยู่อาศัยของสิงคโปร์ (Housing Policy Development หรือ HDB) กล่าวว่า

“เราส่งเสริมการผสมผสานกันทางสังคม (social mixing) เพื่อให้ผู้คนจากหลากหลายเชื้อชาติได้อยู่ร่วมกัน และเข้าใจในวิถีชีวิตของกันและกัน”

 

ด้วยวิธีนี้จะช่วยให้ผู้คนหลากหลายเชื้อชาติได้พบปะ ไม่ว่าจะเป็นเด็กๆ ที่เล่นด้วยกันในสนามเด็กเล่น และกลายมาเป็นเพื่อน หรือแม้กระทั่งการทักทายในลิฟท์ ซึ่งหากวิธีนี้ใช้ได้ผลในสิงคโปร์ ก็เป็นไปได้ว่าในประเทศอื่นๆ ในโลกก็สามารถนำแนวคิดนี้ไปใช้ได้เหมือนกัน

 

เพราะไม่ว่าจะประเทศไหนในโลกก็ตาม รัฐบาลก็ควรหาหนทางที่จะส่งเสริมผู้คนหลากหลายเชื้อชาติให้อยู่ร่วมกัน ซึ่งไม่ใช่แค่นโยบายของรัฐเท่านั้น แต่เราก็ควรส่งเสริมให้เด็กๆ หรือลูกหลานของเราเข้าใจความหลากหลายทางวัฒนธรรม รู้จักยอมรับในความแตกต่างของผู้อื่น เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข และการแบ่งแยก (Segregation) ก็จะหายไปจากสังคมโลก

 

 

Keywords: , , , , , ,
  • Published Date: 19/09/2019
  • by: UNDP

รายงาน Youth Co:Lab ปี 2017-2018

รายงาน Youth Co:Lab ปี 2017-2018

นวัตกรรมสังคมและการเป็นผู้ประกอบสังคมสำคัญอย่างไรกับเยาวชนและการพัฒนาที่ยั่งยืน?

โครงการพัฒนาศักยภาพเยาวชน Youth Co:Lab ใน 2 ปีที่ผ่านมาเป็นอย่างไร?

เราได้เรียนรู้อะไรจากมัน?

มีไอเดียอะไรดี ๆ เกิดขึ้นบ้าง และมันส่งผลกระทบยังไงกับชุมชนและสังคมไทย?

ด้วยเป้าหมายที่ต้องการวางรากฐานและเสริมสร้างความสัมพันธ์ของผู้ที่ทำงานเพื่อสังคมในประเทศไทยไม่ว่าจะเป็นเยาวชน องค์กร และหน่วยงานต่างๆ เพื่อให้เกิดเครือข่ายที่กระตุ้นให้คนไทยร่วมมือกันริเริ่มสร้างสรรค์นวัตกรรมที่จะนำไปสู่การพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืน แพลตฟอร์มนวัตกรรมเพื่อสังคมแห่งประเทศไทย (Thailand Social Innovation Platform)  ได้จัดโครงการ Youth Co:Lab ขึ้นเพื่อเป็นพื้นที่สนทนา พัฒนาศักยภาพ และสร้างการมีส่วนร่วมของเยาวชนคนรุ่นใหม่ผ่านการเรียนรู้ด้านนวัตกรรมสังคมและการเป็นผู้ประกอบการสังคมเพื่อที่จะเข้ามาช่วยแก้ปัญหาและขับเคลื่อนสังคมให้ไปในทิศทางที่ดีขึ้น

รายงาน Youth Co:Lab 2017-2018 ฉบับนี้ได้สรุปโครงสร้าง องค์ประกอบ เครื่องมือ และบทเรียน การเรียนรู้ต่างๆ จากโครงการ Youth Co:Lab ใน  2 ปีที่ผ่านมา พร้อมวิเคราะห์ผลลัพธ์และผลกระทบที่เกิดขึ้น นอกจากนี้ยังได้รวบรวมนวัตกรรมต่างๆ ในการแก้ไขปัญหา พัฒนาสังคม เศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมของเยาวชนที่เกิดขึ้นและถูกนำไปต่อยอด อย่างยั่งยืน

อ่านรายงานฉบับเต็มได้ที่: https://www.th.undp.org/content/thailand/en/home/library/democratic_governance/youth-co-lab-thailand-report-2017-2018-.html

 

  • Published Date: 18/09/2019
  • by: UNDP

‘นวัตกรรมข้อมูล’ สิ่งสำคัญในการสู้กับวิกฤต BREXIT

 

Nesta ใช้ ‘นวัตกรรมข้อมูล’ วิเคราะห์ความต้องการของตลาดแรงงาน UK จากโฆษณารับสมัครงาน 41 ล้านชิ้น พบว่า วิศวกรรมข้อมูล คือทักษะที่มีแนวโน้มเงินเดือนสูงที่สุด

หลายคนอาจสงสัยว่า ‘นวัตกรรมข้อมูล’ เป็นส่วนช่วยวิกฤต Brexit ได้อย่างไร ?

ก่อนอื่นขอท้าวความเรื่องราว Brexit เป็นปัญหาเรื้อรังระหว่างสหราชอาณาจักรกับสหภาพยุโรป (EU) มาร่วม 4 ปี ล่าสุด สภาผู้แทนราษฎรได้ลงมติเห็นชอบร่างกฎหมายพรรคฝ่ายค้านในหัวข้อการเลื่อนระยะเวลาในการถอนตัวออกจากสหภาพยุโรปออกไปเป็นวันที่ 31 มกราคม 2020 จากเดิมวันที่ 31 ตุลาคม 2019 นี้ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการถอนตัวโดยไร้ข้อตกลง (No-Deal Brexit) ซึ่งเป็นแผนของนายกรัฐมนตรี บอริส จอห์นสัน กลายเป็นปัญหาปั่นป่วนสภา และยังส่งผลกระทบต่อประชาชนในหลายด้าน ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ ‘ตลาดแรงงาน’ ในสหราชอาณาจักร เพราะชนวนสำคัญของข้อพิพาทย์ Brexit คือปัญหาผู้อพยพที่มีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ จนเข้ามามีบทบาทสำคัญในตลาดแรงงาน หรือว่าง่ายๆ คือ เข้ามาแย่งงานบางส่วนของชาวสหราชอาณาจักรนั่นเอง

ซึ่งหากลงลึกถึงข้อมูลตลาดแรงงานในสหราชอาณาจักร คงมีชุดข้อมูลหลายต่อหลายชุดที่ข้องเกี่ยว ดังนั้น การพัฒนาอย่างก้าวล้ำของโลกนวัตกรรมจึงเป็นประโยชน์อย่างยิ่งกับการจัดการกองข้อมูลมหึมา เรากำลังพูดถึง ‘นวัตกรรมข้อมูล’ (Data Innovation) ที่มีบทบาทสำคัญในการคิด วิเคราะห์ และแยกแยะข้อมูล

นวัตกรรมข้อมูล (Data Innovation) คืออะไร ?

นวัตกรรมข้อมูล คือการรวบรวมการจัดการ และการใช้ข้อมูลแบบใหม่ (non-traditional data) เช่น โซเชียลมีเดีย และอื่นๆ มาช่วยคิด วิเคราะห์ แยกแยะ และกลั่นข้อมูลออกมาให้มีคุณภาพ เพื่อทำให้เราเข้าใจและเข้าถึงโอกาสต่างๆ ในการพัฒนามากขึ้น ซึ่งผู้กำหนดนโยบายสามารถใช้นวัตกรรมข้อมูลเป็นตัวช่วยขับเคลื่อนเมืองไปสู่ความยั่งยืนได้ เพราะเมื่อสามารถกลั่นกรองข้อมูลที่สำคัญได้แล้ว ผู้กำหนดนโยบายก็สามารถใช้นวัตกรรมข้อมูล ตรวจสอบว่ายังขาดอะไรในการพัฒนา หรือจะหาวิธีอะไรมาอุดรอยรั่วต่างๆ ได้เช่นกัน

National Endowment for Science Technology and the Arts หรือ Nesta สถาบันนวัตกรรมแห่งสหราชอาณาจักร ก็ได้ใช้นวัตกรรมข้อมูลเข้ามาวิเคราะห์เส้นทางตลาดแรงงานในสหราชอาณาจักรหลังออกจาก EU ซึ่งทักษะที่จำเป็นสำหรับแรงงานบางอย่างจะขาดแคลน ทั้งในระยะยาวยังมีเหล่าเทคโนโลยีต่างๆ เช่น AI เข้ามาแย่งงานมนุษย์มากขึ้น Nesta จึงวิเคราะห์จากโฆษณารับสมัครงานกว่า 41 ล้านชิ้น (เก็บข้อมูลระหว่างปี 2012-2017) ร่วมกับผู้กำหนดนโยบาย นักศึกษาศาสตร์ นักธุรกิจ แรงงาน และนักศึกษา เพื่อจัดประเภททักษะที่จำเป็นสำหรับแรงงาน ช่วยวางแผนการรับสมัครงาน ฝึกฝน และเรียนรู้ ซึ่งนับว่าเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ พร้อมช่วยให้แรงงานและนักศึกษามีข้อมูลสำหรับเลือกอาชีพที่สนใจได้มากขึ้น

โดยการวิเคราะห์ของ Nesta ครั้งนี้ พบว่ามีหลากหลายอาชีพที่จำเป็นต้องใช้ทักษะ ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงได้เสมอตามเวลาและการประเมินมูลค่าทางตลาด ต่อไปนี้คือการเปิดเผยข้อมูลให้ประชาชนรับรู้ครั้งแรกในสหราชอาณาจักร เกี่ยวกับ 5 กลุ่มทักษะซึ่งมีแนวโน้มเงินเดือนสูง และอีก 5 กลุ่มทักษะที่ทำแล้วเสี่ยงถูกลดเงินเดือน

กลุ่มทักษะซึ่งมีแนวโน้มเงินเดือนสูง และเติบโตอย่างรวดเร็ว

1.วิศวกรรมข้อมูล
2. งานรักษาความปลอดภัยเทคโนโลยีสารสนเทศ
3. การวิจัยทางการตลาด
4. การพัฒนาแอปพลิเคชัน
5. การพัฒนาเว็บไซต์

กลุ่มทักษะซึ่งมีแนวโน้มเงินเดือนต่ำ และเติบโตช้า

1. การขนส่งและการจัดการคลังสินค้า
2. การบริหารทางการแพทย์และ coding
3. การขายทั่วไป
4. การเก็บข้อมูล
5. สิ่งพิมพ์และการเขียน

อย่างไรก็ตาม เหล่านี้ไม่ใช่ชุดข้อมูลที่ใช้ได้เสมอไป เพราะอย่างที่บอกว่ามันจะแปรผันตามการประเมินมูลค่าทางการตลาด และไม่แน่ว่า Nesta อาจจะต้องวิเคราะห์ทักษะจำเป็นสำหรับแรงงานอีกครั้ง หลังจากมีการเปลี่ยนแปลงเรื่อง Brexit ซึ่งแน่นอนว่า นวัตกรรมข้อมูล (Data Innovation) ยังคงเป็นอาวุธสำคัญที่จะช่วยคิด วิเคราะห์ และแยกแยะข้อมูลชุดใหม่ เพื่อช่วยให้ผู้กำหนดนโยบายขับเคลื่อนประเทศอย่างมีประสิทธิภาพอีกครั้ง

การใช้ ‘นวัตกรรมข้อมูล’ วิเคราะห์ความต้องการของตลาดแรงงาน UK หลังวิกฤต Brexit เป็นเพียงตัวอย่างเดียวเท่านั้นเพราะในความจริงแล้ว ยังมีอีกหลายตัวอย่างจากประเทศต่างๆ ทั่วโลก ที่นวัตกรรมข้อมูลมาใช้ให้เกิดประโยชน์และเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน

 

 

อ้างอิง:

https://www.nesta.org.uk/news/nesta-creates-most-comprehensive-public-map-skills-uk-help-tackle-skill-shortages-ahead-brexit/

https://www.un.org/en/sections/issues-depth/big-data-sustainable-development/index.html

https://www.bbc.com/news/uk-politics-32810887

 

#UNDP #UCXUNDP #Brexit #UnitedKingdom #Britain

Keywords: , , , , ,
  • Published Date: 16/09/2019
  • by: UNDP

เรียนรู้ที่จะ ‘ป้องกัน’ ก่อนเกิดความรุนแรง

 

ต้องยอมรับว่า ทุกวันนี้ยังมีภาพของความยากจน การกีดกัน ความไม่เท่าเทียม ไปจนถึงความอยุติธรรมปรากฏอยู่ ซึ่งอาจเป็นเงื่อนไขที่สร้าง ‘แนวความคิดสุดโต่งที่รุนแรง’ (Violent Extremism) ในระดับสังคม ประเทศ และโลก สิ่งที่สำคัญคือจะยับยั้งไม่ให้เกิดความรุนแรงแบบสุดโต่งนั้นได้อย่างไร  ‘การป้องกันความรุนแรงจากอุดมการณ์สุดโต่ง’ (Preventing Violent Extremism) ต้องอาศัยเครื่องมือแบบไหนบ้าง  เพื่อไม่ให้เรื่องราวน่าเศร้าใจเกิดขึ้นอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่า

 

 

            การป้องกันความรุนแรงจากอุดมการณ์สุดโต่ง ไม่ใช่การหยิบอาวุธครบมือขึ้นมาล้อมหน้าล้อมหลังกัน แต่คือวิธีการค้นหา และระบุถึงสาเหตุของปัญหา เพื่อร่วมกันหาแนวทางแก้ไขด้วยสันติวิธี ซึ่งวิธีนี้ต้องอาศัยความร่วมมือกันของภาครัฐไปจนถึงองค์กรระดับท้องถิ่น และการลงมือทำงานร่วมกับประชาชน

            ถึงแม้ในระเทศไทยเองยังไม่มีความรุนแรงถึงขั้นสุดโต่งปรากฎให้เห็นชัดนัก แต่ก็มีความเสี่ยงที่จะนำไปสู่ความรุนแรงขั้นนั้นได้ นั่นเพราะประเทศไทยไม่ได้มีพื้นที่มากพอให้คนทุกภาคส่วนแสดงออกทางความคิด หรือพูดคุยเรื่องราว และปัญหาต่างๆ รวมถึงประเด็นอีกหลายต่อหลายข้อที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข เช่น ไม่เปิดพื้นที่มากพอให้ผู้หญิงแสดงออกความเห็น ความไม่เท่าเทียมทางเพศในสังคมไทยที่ยังมีให้เห็นอย่างชัดเจน หรือความไม่เสมอภาคของโอกาสในการเข้าถึงด้านต่างๆ

            ดังนั้นการทำความเข้าใจหรือรับรู้เรื่องราวขั้นพื้นฐานจึงเป็นสิ่งที่ควรเริ่มทำ เรามีโอกาสพูดคุยกับ ‘ผศ.ดร.จันจิรา สมบัติพูนศิริ’ อาจารย์สาขาวิชาการระหว่างประเทศ ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ถึงประเด็น ‘การป้องกันความรุนแรงจากอุดมการณ์สุดโต่ง’ (Preventing Violent Extremism) ในประเทศไทย

 

(photo credit : นิตรสาร GM ฉบับเดือนมกราคม 2560)

PVE คำนี้คืออะไร

            ผศ.ดร.จันจิรา : PVE หรือ Preventing Violent Extremism หมายถึง การป้องกันความรุนแรงจากอุดมการณ์สุดโต่ง ซึ่งเกิดขึ้นจากการใช้ความรุนแรงโดยอ้างอุดมการณ์หรือฐานความคิดอันสุดโต่ง โดยมุ่งเป้าไปยังกลุ่มบุคคลที่ฝ่ายซึ่งใช้ความรุนแรงเห็นว่าเป็น “ศัตรู” และอะไรที่ทำให้สังคมของตน “ไม่บริสุทธิ์” การป้องกันความรุนแรงเช่นนี้ต้องกลับไปดูที่โครงสร้างและวัฒนธรรมที่ผลิตผู้ใช้ความรุนแรงสุดโต่ง โดยมากคนเหล่านี้เป็นอยู่ในความขัดแย้งระดับสังคมโดยผู้ที่อยู่ในวังวนความขัดแย้งมักมีความคับข้องใจ (Grievance)  เช่นไม่ได้รับความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจ เจอกับความเหลื่อมล้ำ มีช่องว่างระหว่างคนรวยคนจนเยอะ หรือหลายคนถูกเลือกปฏิบัติ เพราะนับถือศาสนาใดศาสนาหนึ่ง หรือมีเชื้อชาติใดเชื้อชาติหนึ่งในสังคม

            บางคนอาจจะรู้สึกว่า นโยบายของรัฐไม่ได้ให้โอกาสตัวเองในการศึกษาเท่าเทียมกับคนอื่น มันก็มีสาเหตุของการเกิดความคับข้องใจต่างกัน ดังนั้นการสร้างการป้องกันความรุนแรงจากอุดมการณ์สุดโต่ง ต้องเข้าไปศึกษาและเข้าใจความคับข้องใจเสียก่อน ว่าอะไรคือแรงขับเคลื่อนของความคับข้องใจจนนำไปสู่ความขัดแย้ง

 

PVE ในบริบทสังคมไทย

             ผศ.ดร.จันจิรา : นิยามของคำว่าความรุนแรงสุดโต่งที่ใช้กันตอนนี้มาจากประสบการณ์ของประเทศเพื่อนบ้านเรา เช่นอินโดนีเซียหรือฟิลิปปินส์ รวมหลายประเทศในตะวันออกกลาง และโลกตะวันตก ซึ่งอาจไม่ใช้ประสบการณ์ของสังคมไทยเสียทีเดียว เท่าที่ได้คุยกัน คำนิยาม violent extremism สังคมไทยยังไม่ลงตัว แต่ละฝ่ายเข้าใจต่างกันไปตามแต่ประสบการณ์และจุดยืนในสถานการณ์ความขัดแย้งที่เจอ เช่นเวลาเราคุยกับภาคประชาสังคม ก็จะได้ข้อมูลว่า รัฐเป็นปัญหา เป็นผู้ใช้ความรุนแรงกับประชาชน ฉะนั้นเป็นสาเหตุของ violent extremism ส่วนรัฐก็จะมองว่า violent extremism เกิดกับประชาชนบางกลุ่มที่ใช้ความรุนแรงกับประชาชนกลุ่มอื่น ซึ่งมีอัตลักษณ์ต่างจากตน ดิฉันเลยคิดว่า คำหรือการให้ความหมายน่าจะปรับให้เข้ากับบริบทเฉพาะของสังคมไทยมากขึ้น เช่น ดูจากเงื่อนไขของปรากฏการณ์ violent extremism ในมิติที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งรูปแบบต่างๆ มากกว่าจะดูว่าใช้เป็นผู้ใช้ความรุนแรง

 

การทำงานเพื่อป้องกัน

             ผศ.ดร.จันจิรา : การทำงานเพื่อป้องกันความรุนแรงจากอุดมการณ์สุดโต่งของ UNDP มีหลายส่วน ซึ่งเราแบ่งพื้นที่เป็น 2 พื้นที่ใหญ่ คือ

             1.  ในพื้นที่ความขัดแย้งรุนแรงสามจังหวัดชายแดนใต้ มีการจัดโครงการต่างๆ ที่ดูแลเงื่อนไขทางสังคมและวัฒนธรรม ที่ส่งเสริมความขัดแย้งรุนแรง เช่น โครงการที่ดูเรื่องขันติธรรมระหว่างชุมชนชาวพุทธกับคนไทยมุสลิม หรือส่งเสริมให้จัดการเสวนาคุยกันข้ามศาสนา เพื่อสร้างความเข้าใจ

             2. พื้นที่อื่นๆ ในประเทศไทย ทำงานจากการหาสาเหตุของความคับข้องใจว่าไปปรากฎที่ไหนบ้าง ไม่ว่าจะเหนือ อีสาน กลาง ใต้ หาว่าผู้กระทำมีแรงกระตุ้นในการสร้างความรุนแรงอันสุดโต่งอย่างไร

             นอกจากนี้ UNDP ยังมีทีมมอนิเตอร์เรื่องราวของ hate speech หรือการใช้คำพูดสร้างความเกลียดชังภายในประเทศ วิเคราะห์บทสนทนาต่างๆ ในโซเชียลมีเดีย ไม่ว่าจะเป็น ทวิตเตอร์ หรือเฟซบุ๊ก ว่ามีบทสนทนาหรือหัวข้ออะไรบ้างในโลกโซเชียลที่หมิ่นเหม่จะใช้ถ้อยคำเกลียดชังต่อชนกลุ่มน้อยในสังคม  และเรายังร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐเพื่อสนับสนุนโครงการต่างๆ ที่มุ่งป้องกัน violent extremism

 

 

การรับรู้ของภาคประชาชน

              ผศ.ดร.จันจิรา : ถ้าพูดในมุมของสาธารณะ คนทั่วไปยังไม่ค่อยรู้เรื่องการป้องกันความรุนแรงจากอุดมการณ์สุดโต่งเท่าไหร่ เพราะจริงๆ แล้ว PVE มีคอนเซ็ปต์มาจากที่อื่น เช่น มาจากสังคมที่มีผู้ที่ก่อความรุนแรง ดังนั้นตอนนี้ เรากำลังพยายามทำงานกันอยู่เพื่อสร้างความเข้าใจให้กับคนทั่วไป

             อย่างไรก็ตาม ยังมีความท้าทายอีกมากมายที่ต้องดำเนินงานเพื่อสร้างความเข้าใจต่อไป โดยเน้นการสร้างความร่วมมือกับทุกภาคส่วน ตั้งแต่เอกชน องค์กร และที่สำคัญคือภาคประชาชน ผ่านแนวทางการจัดแผนยุทธศาสตร์ ทำงานวิจัย หรือปรึกษาหารือกับผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ เพื่อสร้างแนวทางป้องกันความรุนแรงจากอุดมการณ์สุดโต่ง’ (PVE) ในสังคมไทย

 

Sources :

– ผศ.ดร.จันจิรา สมบัติพูนศิริ’ อาจารย์สาขาวิชาการระหว่างประเทศ ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

– สหประชาชาติและธนาคารโลก 2018 “วิถีสู่สันติ: แนวทางครอบคลุมเพื่อป้องกันความขัดแย้งรุนแรง” บทสรุปผู้บริหาร ธนาคาร วอชิงตัน ดีซี. ใบอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์ ซีซีโดย 3.0 ไอจีโอ

–  http://www.asia-pacific.undp.org/content/rbap/en/home/programmes-and-initiatives/extremelives.html?fbclid=IwAR3G9xDf15DZCyru0BvszNMAL5rcdITCcR4YdKIPrmfT8JmzxIEAaz5QFzo

https://www.undp.org/content/undp/en/home/2030-agenda-for-sustainable-development/peace/conflict-prevention/preventing-violent-extremism.html

https://www.undp.org/content/undp/en/home/blog/2019/new-approaches-to-preventing-violent-extremism.html

Keywords: , , , , ,
  • Published Date: 13/09/2019
  • by: UNDP

Hate Speech = Violence เรากำลังใช้ความรุนแรงโดยไม่รู้ตัวหรือเปล่า ?

Hate Speech = Violence
เรากำลังใช้ความรุนแรงโดยไม่รู้ตัวหรือเปล่า ?

.

ความรุนแรง ไม่ได้เกิดขึ้นจากการกระทำเท่านั้น เพราะเพียง ‘คำพูด’ หรือ ‘ข้อความ’ เพียงไม่กี่ตัวอักษรในชีวิตประจำวันหรือโลกออนไลน์ ก็เป็นชนวนสำคัญที่สร้างความรุนแรงให้เกิดขึ้นในสังคมได้ เรากำลังพูดถึงสิ่งที่เรียกว่า ‘Hate Speech’ หรือ ‘คำพูดเชิงเกลียดชัง’ ที่ผู้พูดอาจพูดอย่างตั้งใจหรือบางครั้งไม่ทันคิด แต่กลับสร้างบาดแผลราวกลับถูกยาพิษให้ผู้ฟัง กลายเป็นความเกลียดชังที่หลายต่อหลายครั้งลุกลามจนถึงขั้นความรุนแรง

Hate Speech หรือ คำพูดเชิงเกลียดชัง คือการพูดหรือการสื่อความหมายที่สร้างความเกลียดชังระหว่างกลุ่มคนในสังคม โดยส่วนมากจะมุ่งไปที่อัตลักษณ์ของกลุ่มคนหรือปัจเจกบุคคลนั้นๆ เช่น เชื้อชาติ ศาสนา สีผิว เพศ อาชีพ อุดมการณ์การเมือง หรือลักษณะอื่นที่สามารถแบ่งแยกผู้คน หรือลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์ ส่งเสริมให้เกิดความเกลียดชัง และกลายเป็นความรุนแรงโดยไม่รู้ตัว ซึ่งเกิดจากการไม่รับฟังความคิดเห็นที่ต่างออกไป

 

Cyberbullying : โลกออนไลน์แห่งการบูลลี่

โลกออนไลน์กลายเป็นพื้นที่สำหรับสร้าง Hate Speech มากที่สุด นั่นเพราะไม่ว่าใครก็สามารถเข้าถึง และแสดงออกความคิดเห็นได้อย่างเปิดเผย การบูลลี่ (bully) คนอื่นด้วยถ้อยคำต่างๆ นานาที่เต็มไปด้วยการดูถูก ตึงเครียด ไปจนถึงก้าวร้าวถูกสาดมาเกลื่อนเต็มพื้นที่ จากหนึ่งกลายเป็นสอง ขยายวงกว้างเรื่อยๆ และเกิดเป็นค่านิยมในที่สุด เช่น การวิจารณ์รูปร่างของคนอื่นในเฟสบุ๊ค การตั้ง status แขวะกัน ไปจนถึง Live ด่ากันก็มี ไม่เพียงเท่านั้น สื่อหลักหรือสื่อหน้าใหม่บ้างเจ้า ยังโหนกระแสนำเรื่องเหล่านี้ไปขยายประเด็นเพิ่มเติม จนทำให้เรื่องบางเรื่องถูกวิจารณ์กันอย่างสนุกปาก และการบูลลี่ก็กลายเป็นเรื่องปกติไปโดยปริยายในบางสังคม

สิ่งที่น่ากลัวสำหรับการบูลลี่ในโลกออนไลน์ คือสิ่งที่เรียกว่า ‘การล่าแม่มด’  (Witch-hunt) ที่แต่เดิมคือคำที่ใช้ไล่ล่าคนที่ถูกตรีตราว่าเป็นแม่มดหรือฝึกฝนไสยศาสตร์ในยุคกลางของยุโรป มีผู้บริสุทธิ์ที่ตกเป็นเหยื่อของการไล่ล่าแม่มด การทรมาณ การประหารชีวิตเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก วาทกรรมนั้นกลับมาอีกครั้งในรูปแบบใหม่ที่เกิดขึ้นอย่างแพร่หลายในโซเชียลมีเดีย โดยการจู่โจมใครสักคนหนึ่งหลังคีย์บอร์ด ขุดคุ้ยประวัติ หาข้อมูลต่างๆ มาทำให้เสียชื่อเสียง กลั่นแกล้ง และประจานกันในพื้นที่สาธารณะ

 

Labelling : ตีตราให้ค่าโดยไม่ไตร่ตรอง

หนึ่งในสาเหตุของการมี hate speech จนนำไปสู่ cyberbullying คือ การตีตรา (Labelling) ที่ผสมกับชุดวาทกรรมที่เชื่อกันแบบผิดๆ มาใช้แบ่งประเภท หรือตัดสินความเป็นคนนั้นทันที โดยที่ไม่ได้รู้จักกันดีด้วยซ้ำ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ การตัดสินกลุ่ม LGBTQ+ ว่าพวกเขาผิดปกติ ไม่เป็นไปตามสังคมกำหนด ทั้งยังเชื่อว่าต้องอาภัพรัก ไม่ประสบความสำเร็จ และเป็นตัวตลกในสายตาใครๆ และที่น่าเศร้าใจมากกว่านั้น คือการที่บางสื่อยังคงผลิตซ้ำความคิดเหล่านี้ จนกลายเป็นบรรทัดฐานทางสังคม (Social Norm)

อีกหนึ่งกรณีที่เราอยากยกมาพูด คือการตัดสินคนผ่านถิ่นกำเนิด เช่น เป็นคนใต้ต้องตัวดำ เป็นชาวเขาต้องพูดไม่ชัดและไม่ทันโลก เป็นคนอีสานต้องกรามใหญ่ และทำอะไรเปิ่นๆ จนมีคำพูดดูถูกพวกเขาว่า ‘อย่ามาทำตัวลาวหน่อยเลย’ ดังนั้น การตีตราก่อนรู้จัก โดยไม่ได้คิด หรือไตร่ตรองให้ดี จึงกลายเป็นสิ่งที่หลายคนมองข้าม และอาจลืมไปว่า สิ่งที่ซ่อนอยู่คือ ความเกลียดชังปะปนความรุนแรง

 

Climate Change : เพราะอากาศเปลี่ยนแปลง

สภาวะสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง (Climate Change) ส่งผลให้ความเข้าใจเปลี่ยนไป เปลี่ยนไปในที่นี้ หมายถึงการนำความคิดเราไปตัดสินเรื่องราวเหล่านั้น เช่น เรื่องฝุ่น PM 2.5’ ที่เกิดความไม่เข้าใจระหว่างคนเมืองกับผู้คนที่อยู่ในป่า นั่นคือฝั่งคนเมืองมองว่า คนในป่าเป็นคนเผ่าป่า จนสร้างฝุ่นคลุ้งเข้ามากระทบในเมือง ในขณะที่ผู้คนในป่าก็มองว่า บรรดาคนเมืองที่ทำโรงงานอุตสาหกรรม ขับรถปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาจากท่อไอเสีย คือผู้ที่สร้างมลพิษ โดยที่อาจลืมไปว่า เราไม่ได้เป็นเขา และเขาก็ไม่ใช่เรา

หรือในกรณีของขยะพลาสติกที่ผู้รายได้น้อยมักจะถูกเหมารวมว่า ใช้พลาสติก หรือโฟมเยอะ เพราะไม่มีกำลังทรัพย์ไปซื้อภาชนะที่สามารถย่อยสลายได้ หรือไม่เคยตระหนักคิดถึงเรื่องนี้ ทั้งที่ความเป็นจริง ไม่ว่าใครก็สามารถเป็นตัวการสร้างขยะพลาสติก และไม่ว่าใครก็สามารถเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหาเรื่องสภาวะสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงได้เช่นกัน

 

Politics : การเมืองร้อนซ่อนความรุนแรง

‘ดร.มาร์ค เจริญวงศ์’ อัยการประจำสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวในงานสัมมนาสาธารณะ “Hate Speech บนโลกออนไลน์ บาดแผลร้ายที่ใครต้องรับผิดชอบ” จัดขึ้นโดยผู้เข้าอบรมหลักสูตรผู้บริหารการสื่อสารมวลชนระดับกลางด้านกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (บสก.) รุ่นที่ 8 สถาบันอิศรา มูลนิธิพัฒนาสื่อมวลชนแห่งประเทศไทยว่า ปัญหา Hate Speech ที่พบในประเทศไทยมากที่สุด ซึ่งมีความรุนแรง คือการใช้วาจาสร้างความเกลียดชังในเรื่องการเมือง

ยิ่งการเมืองร้อนฉ่า ความเห็นทางการเมืองที่แตกต่าง Hate Speech ที่เกิดขึ้นยิ่งเผ็ดร้อน ลุกลามไปอย่างรวดเร็ว ในสถานการณ์ที่มีการแบ่งขั้วชัดเจน ชอบหรือไม่ชอบอีกฝ่าย คำด่าทอมากมายถูกพ่นออกมา รวมถึงการประท้วงเรียกร้อง สิ่งที่ตามมาคือความรุนแรงจนบางครั้งถึงขั้นลงไม้ลงมือ และกระทบกับสังคมโดยรอบ มากไปกว่าการใช้ Hate Speech ระหว่างคนที่มีอุดมการณ์ต่างกัน นั่นคือคนในแวดวงการเมืองเอง ที่เป็นผู้กำหนดกฎหมายยังใช้สิ่งนี้เป็นเครื่องมือทำร้ายคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นการเหยียดเพศ เชื้อชาติ อายุ หรือการแต่งกายที่เกิดขึ้นทั้งในและนอกสภา

 

Case Study : Crying in Public, New York – U.S.A

รู้สึกอย่างไร ให้แสดงออกผ่านอิโมจิ

บางครั้ง Hate Speech อาจเกิดขึ้นจากความรู้สึกไม่พอใจในสิ่งที่คนอื่นทำ ความเห็นที่แตกต่าง หรือเกิดขึ้นจากความโมโหจนพูดจาทำร้ายจิตใจ สร้างความเกลียดชัง จนกลายเป็นความรุนแรง อารมณ์เหล่านั้นควรได้รับการปลดปล่อยหรือเยียวยา ซึ่งหลายๆ ประเทศยังขาดพื้นที่สำหรับปลดปล่อยอารมณ์และความรู้สึก

‘Kate Ray’ วิศวกรในย่านกรีนพอยท์ เมืองนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา ขอเป็นคนหนึ่งที่จะไม่ปล่อยเรื่องนี้ไว้ สร้าง https://cryinginpublic.com/ แพลตฟอร์มในโลกออนไลน์ที่ตั้งใจให้ผู้คนมาระบายความรู้สึกในจิตใจ ที่ถูกกระทบจากแวดล้อมรอบข้าง ทั้งการใช้ชีวิต ความคิดเห็น ความสัมพันธ์ ไปจนถึงเรื่องการเมืองโดยไม่ต้องอายใคร หรือไม่ต้องกังวลว่าจะมีใครเฝ้าถามเรื่องราวทุกข์ใจที่ไม่อยากพูดหรือเปล่า ผ่านการใช้อิโมจิ เช่น

ไฟ หมายถึง โดนไล่ออก

พีช หมายถึง รู้สึกไม่ปลอดภัยเวลาทำงาน

ค้อน หมายถึง มีอุดมการณ์ หรือความคิดใหม่

แมว หรืออมยิ้ม หมายถึง ระดับความรู้สึกที่เปลี่ยนแปลง

นอกจากนี้ ยังมีอิโมจิอีกมากมายที่กำลังทำหน้าเศร้าและเป็นตัวแทนของเสียงร้องไห้ และเมื่อได้ระบาย ถึงแม้จะเป็นเพียงการใช้อิโมจิบนโลกออนไลน์ก็ตาม แต่เชื่อเถอะว่า ความอึดอัดคับใจที่มีอยู่ล้นอกจะลดลงบ้างไม่มากก็น้อย นั่นหมายถึงว่า โอกาสที่จะเกิด Hate Speech จนนำไปสู่ความรุนแรงก็น้อยลงเช่นกัน

 

 

 

sources :

https://slate.com/technology/2018/02/crying-in-public-lets-users-map-out-things-theyve-felt-in-new-york-city.html

 https://www.amny.com/things-to-do/nyc-crying-in-public-map-1.16885669

https://mgronline.com/qol/detail/9620000055786

https://workpointnews.com/2019/06/22/pm-prayuth-social-media/

  • Published Date: 10/09/2019
  • by: UNDP

แล็บทดลองเมือง Mexico City ทำแผนที่เส้นทางรสบัสภายใน 17 วัน

Too Big to Handle

Mexico City เมืองหลวงของประเทศ Mexico บ้านของคนจำนวน 22 ล้านคน ที่มีความหลากหลายทั้งภูมิประเทศ และสภาพสังคม โดยประชากรกว่าครึ่งมีอายุต่ำกว่า 26 ปีเท่านั้นเอง

ประชากรของ Mexico City เติบโตขึ้นจากเพียง 3 ล้านคน มาเป็น 22 ล้านคนภายในระยะเวลาไม่ถึง 70 ปี ปัญหาที่รัฐบาลและหน่วยงานราชการต่างๆ ต้องรับมือและปรับตัวนั้นมากมายและเกินกว่าที่จะควบคุมได้ทัน ทั้งอัตราคอรัปชั่นและอาชญากรรมที่สูงขึ้นปีต่อปี ทำให้ความเชื่อมั่นของประชากรที่มีต่อรัฐบาลนั้นลดลงเหลือแค่ 30% เท่านั้น การร่วมมือกันระหว่างภาครัฐกับประชาชนเพื่อการพัฒนาเมืองหลวงนี้จึงแทบจะไม่สัมฤทธิ์เลยตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน ไม่เว้นแม้แต่การจราจรของ Mexico City ที่ติดอันดับ 4 ยอดแย่ของโลก

 

 

New Change, New Approach

แต่แล้วในปี ค.ศ. 2012 นายกเทศมนตรี ‘Miguel Ángel Mancera’ ได้ริเริ่มโครงการ Laboratorio para la Ciudad หรือ “Laboratory for the City” ที่แปลว่าห้องแล็บสำหรับเมือง เพื่อให้คำสัญญาต่อประชาชนว่า จะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับเมืองให้ได้ โดยผู้ที่ได้รับมอบหมายหน้าที่นำทีมห้องแล็บนี้คือ ‘Gabriella Gómez-Mont’ ผู้ซึ่งเคยเป็นนักข่าว ผู้ผลิตภาพยนตร์สารคดี และศิลปินมาก่อน

แล็บนี้ประกอบไปด้วยทีมงานที่มาจากหลากหลายความถนัด หลายอาชีพ และหลากอายุ ตั้งแต่ศิลปิน กราฟิกดีไซเนอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบาย นักวิเคราะห์ข้อมูล สถาปนิก วิศวกรคอมพิวเตอร์ ฯลฯ โดยที่ทั้งทีมมีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 29 ปี เท่ากับอายุเฉลี่ยของคนในเมือง

วิธีที่แล็บนี้เลือกใช้ในการแก้ปัญหาของเมืองนั้น คือการหยิบเอาความร่วมมือของคนในเมืองกับภาครัฐมาใช้ โดยมีแล็บเป็นตัวกลางในการนำพาความคิดไปสู่การทดลองจริง ก่อนที่จะผลักดันให้ออกมาเป็นนโยบาย และกฎหมายต่อไป ภายใต้การสนับสนุนที่ดีของนายกเทศมนตรี ทำให้ Gómez-Mont นำทีมทดลองแก้ปัญหาเมืองและออกมาเป็น ข้อมูล นโยบายที่น่าสนใจมากมาย และเธอก็ได้กล่าวไว้ว่า

 

“สิ่งที่เรามองข้ามไปมากที่สุดในเมืองใหญ่อย่าง Mexico City นั่นก็คือ พลังของประชาชน”

 

 

People as a Resource

ตัวอย่างที่ชัดเจนในการใช้พลังประชาชนแก้ปัญหาเมือง ร่วมกับแนวคิด และมุมมองที่สดใหม่จากทีมทำงาน คือ โปรเจกต์ ‘Mapatón’ ที่ตั้งใจจะแก้ปัญหารถบัสโดยสารซึ่งมีมากกว่า 1,500 สาย และขนส่งประชาชนจำนวนมากถึง 70% จาก 22 ล้านคน แต่กลับไม่มีการบันทึกเส้นทางเดินรถของรถเหล่านี้เลย ทำให้ผู้คนที่จะใช้งานรถบัสโดยสารต้องอาศัยการจดจำ และถามเอาจากคนที่รู้เส้นทางนั้นๆ เอง สำหรับเมืองที่มีประชากรขนาดนี้ นี่ถือเป็นปัญหาใหญ่ที่นับวันจะบานปลาย

 

Mapatón คือแอปพลิเคชันมือถือที่มาในรูปแบบเกม หรือ gamification ให้ประชาชนผู้โดยสารรถบัสบันทึกตำแหน่งของตน ในขณะที่โดยสารบนรถบัสแลกกันกับแต้มรางวัลภายในเกม ใครโดยสารไปได้ไกลมาก ก็ได้แต้มมาก พร้อมกับต้องถ่ายรูปสายของรถบัสมาควบคู่กันกับเส้นทางที่ตนบันทึก ออกมาเป็นแผนที่เดินรถทั่วทั้งเมือง

ผลลัพธ์ของ Mapatón นั้นดีเกินคาด ภายในเวลา 17 วัน มีผู้โหลดใช้แอปฯ มากถึง 3,600 คน มีการบันทึกเส้นทางมากถึง 2,600 เส้นทาง รวมเป็นระยะทาง 48,000 กิโลเมตร หรือ 1.4 รอบโลก !

 

 

“ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากการร่วมมือของรัฐบาล ผู้เชี่ยวชาญ และประชาชน”

สามารถลดงบประมาณ และระยะเวลาที่ควรจะต้องใช้จริงถึง 400 วันในการเก็บข้อมูลให้ลดลงเหลือแค่ การพัฒนาแอปพลิเคชัน และเวลาเก็บข้อมูลเพียงแค่ 2 อาทิตย์กว่าๆ เท่านั้น

 

Trust is the Beginning

ด้วยความพยายามของ Gómez-Mont และทีมแล็บเมือง สิ่งต่อไปที่หวังได้ คือการสมานความไว้วางใจของประชาชนกับรัฐบาลให้ได้ ด้วยโปรเจกต์อย่าง Mapatón และอื่นๆ อีกมากมาย จะทำให้การมีส่วนร่วมของประชาชนมากขึ้น การได้ใกล้ชิดกับรัฐบาลที่มีความเปิดกว้าง และทันสมัยมากขึ้น ปัญหาที่เกินจะแก้ไขได้อย่าง Mexico City ก็คงไม่ใช่แค่ฝันอีกต่อไป

 

 

 

Sources :

https://www.frameweb.com/news/spaces-for-innovation-laboratorio-para-la-ciudad

https://g0v.news/laboratorio-para-la-ciudad-re-imagining-mexico-city-through-civic-tech-84272ce8619c?gi=c3bcc4807be2

https://www.urbangateway.org/news/experimental-think-tank-mexico-city

https://www.fastcompany.com/person/gabriella-gomez-mont

http://urbanovacion.com/portfolio-items/closing-ceremony-of-the-first-mapaton-in-cdmx/

Submit Project

There are many innovation platforms all over the world. What makes Thailand Social Innovation Platform unique is that we have created a Thai platform fully dedicated to the SDGs, where social innovators in Thailand can access a unique eco system of entrepreneurs, corporations, start-ups, universities, foundations, non-profits, investors, etc. This platform thus seeks to strengthen the social innovation ecosystem in Thailand in order to better be able to achieve the SDGs. Even though a lot of great work within the field of social innovation in Thailand is already happening, the area lacks a central organizing entity that can successfully engage and unify the disparate social innovation initiatives taking place in the country.

This innovation platform guides you through innovative projects in Thailand, which address the SDGs. It furthermore presents how these projects are addressing the SDGs.

Aside from mapping cutting-edge innovation in Thailand, this platform aims to help businesses, entrepreneurs, governments, students, universities, investors and others to connect with new partners, projects and markets to foster more partnerships for the SDGs and a greener and fairer world by 2030.

The ultimate goal of the platform is to create a space for people and businesses in Thailand with an interest in social innovation to visit on a regular basis whether they are looking for inspiration, new partnerships, ideas for school projects, or something else.

We are constantly on the lookout for more outstanding social innovation projects in Thailand. Please help us out and submit your own or your favorite solutions here

Read more

  • What are The Sustainable Development Goals?
  • UNDP and TSIP’s Principles Of Innovation
  • What are The Sustainable Development Goals?

Contact

United Nations Development Programme
12th Floor, United Nations Building
Rajdamnern Nok Avenue, Bangkok 10200, Thailand

Mail. info.thailand@undp.org
Tel. +66 (0)63 919 8779