- Published Date: 26/07/2021
- by: UNDP
อยู่ใกล้น้ำ อยู่ใกล้เขา แล้วเมื่อไหร่รัฐจะมาอยู่ใกล้ใจเราบ้าง :3
“ฮัลโหล ฮัลโหล ไม่ค่อยได้ยินเลยครับ”
พี่สมพร ได้ยินไหมครับ ให้โทรไปใหม่ไหมครับ
“โอเค ได้ยินแล้วครับ สัญญาณไม่ค่อยดีเลย ว่ายังไงครับ”
พี่อยู่ในป่าเหรอครับ
“ในป่าไม่มีสัญญาณครับ ต้องเข้ามาที่ตัวอำเภอถึงจะมีสัญญาณ”
โอเคครับ อยากจะชวนพี่สมพรคุยเรื่องวิถีชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่ป่าน่ะครับ
“ชุมชนอยู่อยู่ในอำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี เป็นชุมชนในพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรด้านตะวันตก ติดกับประเทศเมียนมาร์ มีชุมชนชาวกะเหรี่ยงอยู่ 6 หมู่บ้าน 7 ชุมชน หมู่บ้านของผมอยู่นอกสุดเลย พอจะมีสัญญาณแต่ก็ไม่ดี ต้องเข้ามาคุยโทรศัพท์กับคุณที่อำเภอนี่”
ยากไหมพี่ การใช้ชีวิตอยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเนี่ย
“เดี๋ยวนี้ยาก การจับจ่ายใช้สอยตามวิถีเรามันยากขึ้นทุกวัน ล่าสุดมีการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายยิ่งแย่ ปกติวิถีคนกระเหรี่ยงคือการทำไร่หมุนเวียนมีระยะมากที่สุดคือ 20 ปีถึงจะกลับมาใช้อีกครั้ง คิดดูว่าป่าจะฟื้นขนาดไหน แต่ พรบ. ใหม่กำหนดให้เราใช้ได้แค่สองปีในพื้นที่ที่เขาจัดไว้ให้ 20 ไร่ต่อครัวเรือนตามทะเบียนบ้าน แบบนี้วิถีชีวิตเราจะพัง พื้นที่ทำกินของชาวกะเหรี่ยงจะพังไปเลย เพราะอายุไร่หมุนเวียนอย่างน้อยๆ ต้อง 7 ปี ยังไม่รวมหลักปฏิบัติต่างๆ ในเขตพื้นที่รักษาพันธุ์ที่กระทบกับเราเต็มๆ”
การทำไร่หมุนเวียน: ระบบเกษตรกรรมพื้นบ้านที่ทำกันในหลายวัฒนธรรม โดยเฉพาะในกลุ่มชาติพันธุ์ซึ่งอยู่บนที่สูง เป็นการผลิตในระยะสั้น และปล่อยให้ป่าฟื้นในระยะยาวจนดินคืนความสมบูรณ์ แล้วจึงกลับมาทำเกษตรกรรมที่เดิมอีกครั้ง จึงเป็นรูปแบบเกษตรกรรมยั่งยืนที่สามารถรักษาความหลากหลายทางชีวภาพและความอุดมสมบูรณ์ของดินไว้ได้มากที่สุดระบบหนึ่ง หลายคนยังเข้าใจผิดว่าการทำไร่หมุนเวียนคือไร่เลื่อนลอย ซึ่งมีลักษณะที่แตกต่างกัน เพราะไร่เลื่อนลอยคือการเกษตรแบบตัด ฟัน โค่น และเผาบนที่สูง และย้ายที่ไปเรื่อยๆ หลังจากที่ดินขาดความอุดมสมบูรณ์ หรือมีวัชพืชเกิดขึ้นมาก
พรบ.ใหม่: พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ ฉบับแก้ไข้เพิ่มเติมปี พ.ศ. 2564 ระบุเอาไว้ว่าอนุญาตให้ทำไร่หมุนเวียนได้ไม่เกิน 2 ปีในพื้นที่ที่ได้จัดสรรเอาไว้ให้ ซึ่งจะกระทบกับวิถีชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์ เพราะไร่หมุนเวียนมีระยะเวลาการทำโดยเฉลี่ย 7-20 ปี ซึ่งทำให้ต้นไม้โตไม่ทัน หรือเรียกกันว่า ‘ป่าอ่อน’ ส่วนการถือครองสิทธิ์ก็กำหนดให้ครอบครองได้ 20 ปี หากเมื่อไหร่ที่ผู้เซ็นเอกสารรับถือแก่ความตาย ให้ทายาทเท่านั้นที่จะใช้สอยต่อได้ตามเวลาที่เหลือในกฤษฎีกาเท่านั้น
เหมือนเป็นการบีบเราให้ออกจากพื้นที่ไหม
“เราโดนไล่ไปแล้วรอบนึงตอนปี 2536 ตอนนั้นมีการร่างโครงการเยอะมากเพื่อเอาคนออก แต่ประสบความสำเร็จอยู่ 3 โครงการ เรายืนยันว่าวิถีชีวิตที่ดำรงอยู่กันมาของเรานี้เป็นการรักษาป่าจนได้มรดกโลกมา จากคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ที่เล่าส่งต่อกัน พวกเราอยู่ในพื้นที่นี้มาไม่ต่ำกว่า 300 ปี ถ้าตามวัตถุพยานก็เป็นพันปี คนกะเหรี่ยงเราเคลื่อนย้ายตาม…”
(ตื๊ดๆๆ สายหลุด เราโทรกลับไปใหม่ด้วยความยากลำบาก สักพักถึงจะรับ)
“อ่าครับ โอเค คือคนกะเหรี่ยงเราเคลื่อนย้ายตามสถานการณ์ พม่าตีมาเราก็หนีไปอีกเขา เกิดโรคระบาดเราก็หนีไปอีกมุมหนึ่ง เป็นปกติแบบนี้มาตลอด จะมาวุ่นวายก็ช่วงหลังที่ต้องแบ่งแยกว่าต้องมีจังหวัด มีอำเภอ แล้วคนจัดทำแผนเหล่านี้ก็ไม่เคยมาดูแลคนชนเผ่าเลย จริงๆ ก็ไม่เห็นกันมาตั้งนานแล้ว เวลาออกกฎหมายก็ลดทอนชีวิตเราไปเรื่อยๆ”
พี่ว่าทำไมรัฐถึงอยากจัดระเบียบเรา
“เขาคิดว่าพวกเราทำให้ผืนป่าลดลง เวลาออกยุทธศาสตร์ชาติที่ตั้งตัวเลขขึ้นมาว่าต้องมีเท่านั้นเท่านี้ คิดตามระดับความเข้าใจที่มองจากแผนที่ภาพถ่ายมุมสูง ซึ่งย้อนกลับไปได้แค่ปี 2540 แต่ไม่ได้มองว่าเราสร้างประโยชน์อะไรมามากมายหลายชั่วอายุคนที่อยู่ในป่าแห่งนี้ เขาคิดว่าถ้าเอาชุมชนออกไปจะเพิ่มพื้นที่สีเขียวได้ ตามแผนจากส่วนกลางที่ต้องเร่งเอาป่ากลับมา”
ที่ผ่านมาปรับตัวกันยังไง
“เราได้รับผลกระทบจากโควิดน้อยมาก มีแค่ลูกหลานบางคนที่ออกไปเรียน เพราะการเกษตรที่ทำก็เพื่อเอามากินเท่านั้น แต่การเรียนออนไลน์นี่ไม่ได้เลย ไม่มีประสิทธิภาพ บางคนก็หยุดเรียนไปก่อน หรือไม่ต้องก็ไปอยู่กับญาติตามแนวเขาที่พอมีสัญญาณเพื่อให้เรียนได้ แต่สัญญาณก็ไม่เสถียรหรอกครับ”
พี่สมพรคิดว่าต้องสร้างความเข้าใจกับคนภายนอกไหม
“ผมคิดว่าการสร้างความเข้าใจกับคนภายในสำคัญกว่าหลายเท่า ตอนนี้ผมทำสถานศึกษาขึ้นมาเพื่อให้เด็กเข้าใจว่าวิถีชีวิตของตัวเองเป็นเรื่องสำคัญ ถึงแม้รัฐจะไม่มาเห็นตรงนี้ เราก็ต้องทำต่อ การศึกษาจากส่วนกลางที่ต้องออกไปเรียนไกลๆ ข้างนอกจะทำให้เด็กบิดเบี้ยว เช่น พอไปเจอเพื่อนที่เรียนเก่งกว่า ได้ทำงานที่ดีกว่า ตัวเองก็จะรู้สึกว่าสู้เขาไม่ได้ ต้องกลับมาอยู่ที่บ้าน แบบนี้จะให้พวกเขาภูมิใจในวิถีชีวิตตัวเองได้ยังไง”
พี่ก็เลยอยากสร้างสิ่งนี้ขึ้นมา? เริ่มต้นจากอะไรครับ
“จุดเริ่มต้นมาจากมูลนิธิหนึ่งมาทำความร่วมมือกับ อบต. ในพื้นที่ เมื่อก่อนที่เด็กต้องออกไปเรียนข้างนอกเพราะเราไม่มีสถานศึกษาให้เด็กเรียนจบตามภาคบังคับ ก็เลยเป็นโอกาสให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วม เราจัดการเรียนการสอนเอง ได้ประกาศสถานศึกษาในรูปแบบศูนย์การเรียนเลย ตอนนี้เราขยับจากระดับชั้น ม.3 มาได้ถึง ม.6 แล้ว เด็กจบ ม.6 ได้ที่บ้านตัวเอง แต่หมู่บ้านอื่นๆ ก็ต้องเดินทางมาเรียนไกลอยู่ดี ห่างกัน 80 กิโลเมตรก็มี แต่ตอนนี้ก็ถือว่าทำได้ดีที่สุดแล้ว เพราะรัฐเขาก็ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น”
เด็กๆ ได้เรียนอะไรกันบ้าง
“กระทรวงฯ บังคับ 3 วิชา คือ ภาษาไทย คณิตศาสตร์ และภาษาอังกฤษ ต้องสอนตามหลักสูตร นอกนั้นเด็กๆ จะเรียนอะไรก็ได้ ทำให้พวกเขาได้ศึกษาในเรื่องที่ตัวเองสนใจ เช่น เขาอยากศึกษาพันธุ์ข้าวในไร่หมุนเวียน เราก็เอาแกนกลางของกระทรวงฯ มาจับ คือวิชาคณิตศาสตร์จะเข้าสู่ข้าวได้อย่างไร สุขศึกษาจะเข้าสู่ข้าวได้อย่างไร ถามว่ายากไหม ตอบเลยว่ายากมากที่จะทำให้ตรงตามหลักสูตร แต่เราก็อยากให้เด็กรู้ว่าชุมชนของเรามีข้าวอยู่มากถึง 30-40 สายพันธุ์นะ นี่คือความเข้มแข็งของข้าวเรานะ เรามีข้าวให้คนในชุมชนกินได้ โดยไม่ต้องไปซื้อข้าวใครกินมาร้อยปีแล้ว”
ทุกอย่างก็ดูไปได้ดีใช่ไหมครับ
“ตอนนี้ผมตัดเงินเดือนตัวเองให้เด็กที่เพิ่งจบใหม่กลับมาช่วยสอนต่อ”
(เราเงียบ พี่สมพรก็เงียบไปสักพัก)
“ตอนนี้หน้าที่หลักของผมคือต้องปกป้อง และสรรหาแหล่งทุน สำคัญมาก ไม่ใช่แค่ลำบากขึ้น แต่เหนื่อย แหล่งทุนที่เคยสนับสนุนประจำก็หายไปแล้ว ตอนนี้เหลืออยู่แค่แหล่งเดียว ถ้าเขาทิ้งไปคือเราล้มเลย เงินที่มีอยู่ตอนนี้ก็แค่ให้เป็นเงินเดือนครู กับอาหารกลางวันเด็ก มื้อละ 150 บาท ต่อนักเรียน 30 คน และครู 7 คน เด็กเราเข้าถึงการศึกษามากขึ้น แต่ถ้าพ่อแม่เขาไม่ลำบากจริงๆ ก็คงไม่ปล่อยให้ลูกมากินข้าวแบ่งกันขนาดนี้”
แล้วถ้าคนในชุมชนหารายได้เอง เช่น ขายผลิตภัณฑ์การเกษตรเอง จะพอช่วยได้ไหม
“ทำมาตลอด แต่โครงสร้างรัฐทำให้ทุกอย่างลำบากมาก เช่น เรียกเราไปประชุมทุกเดือน เราก็ต้องบกพร่องหน้าที่การสอนไป แล้วก็ต้องทำรายงาน ทำบัญชี บังคับว่าต้องทำสิ่งนี้ผ่านโปรแกรมนี้นะ ทำให้ศูนย์การเรียนรู้ขาดบุคลากรไป ผมเคยพูดกลางที่ประชุมเลยว่างานเอกสารแบบนี้ผมทำไม่เป็น ถ้าอยากให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่ต้องการจริง ก็จ้างนักบัญชีมาอยู่กับเราเลย ให้คนที่ถนัดเขาได้ทำหน้าที่ของเขา เราไม่ได้ต่อต้านความเจริญ แต่อยากให้เราได้มีส่วนร่วมในการออกแบบโครงสร้างของความเจริญ ซึ่งรัฐไม่เคยเข้าหาเราด้วยเจตนาแบบนี้ รัฐให้ความสำคัญกับแค่มิติพื้นที่ ไม่ได้สนใจว่าสิ่งที่เราทำอยู่มันช่วยรักษาพันธุ์พืชไว้ได้มากแค่ไหน กฏหมายไม่ได้ออกแบบมาให้คนมีช่องหายใจ ไม่ได้เป็นถังอ็อกซิเจน เหมือนเป็นแค่ท่อเปล่าๆ พอให้หายใจได้เท่านั้น”
แล้วผลจากการที่พี่ช่วยกันสร้างสถานศึกษานี้ขึ้นมา เป็นยังไงบ้าง
“ตอนนี้ในศูนย์มีเด็กอยู่ 24 คน มีเด็กเรียนปริญญาตรีอยู่ข้างนอก 3 คน จบแล้วทำงานอยู่ในหน่วยงานที่เขารองรับอีก 3 คน อีกคนพอจบ ม.6 ก็กลับมาทำงานที่ศูนย์ เราทำให้เด็กในศูนย์อ่านออกโดยไม่ต้องเข้าไปเรียนในเมือง”
ถ้าสมมติว่าบอกอะไรกับรัฐได้ พี่จะบอกอะไรครับ
“รัฐจะใช้กฎหมายที่มีอยู่เหมือนกันกับทุกพื้นที่ไม่ได้ รัฐสามารถประกาศใช้กฎหมายพื้นที่พิเศษแบบที่ใช้กับจังหวัดชลบุรี และอนุกรรมการต่างๆ ควรมีชาวบ้านเข้าไปร่วมตัดสินใจด้วย เพราะกฎที่ออกมากระทบชาวบ้านแบบ 100% รัฐต้องให้เราเข้าไปมีส่วนร่วม การทำแบบนี้มันเกินกว่าเหตุมากๆ”
อยากให้พี่สมพรสู้ๆ นะครับ
“สู้อยู่แล้ว สู้มาตั้งแต่แรกแล้ว ตอนนี้คนกะเหรี่ยงมีสัญชาติมากกว่า 80% แล้ว ดีขึ้นจากเดิมเพราะเราถวายฎีกา ต้องสู้ถึงจะได้มา”
พี่สมพรทิ้งท้ายว่าถ้าอยากถามอะไรเพิ่มเติมต้องบอกล่วงหน้าหน่อยหลายวันนะ เพราะต้องเข้าเมืองมาคุยอย่างนี้ทุกครั้ง (และเราก็ได้ติดต่อไปหาพี่สมพรอีกครั้ง เพื่อขอภาพบางส่วนมาประกอบบทความ ขอบคุณภาพจากพี่สมพรมา ณ ที่นี้ด้วยครับ)
พี่สมพรคืออีกหนึ่งตัวอย่างของการต่อสู้อย่างสันติที่ร้องเรียนผ่านกระบวนการกฎหมาย และสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เห็นว่าในพื้นที่ป่าอันห่างไกล ก็สามารถมีห้องเรียนเอาไว้อนุรักษ์ทั้งพืชพรรณ และวัฒนธรรมที่มักจะสูญหายไปพร้อมกับคนรุ่นใหม่ที่ต้องออกไปเรียนต่อข้างนอก ความหวังของพี่สมพรคือการที่ลูกหลานของเขาจะ ‘ไม่ถูกลืม’ ว่าเป็นพลเมืองคนหนึ่งขับเคลื่อนประเทศให้ไปข้างหน้า อย่างน้อยก็มีหน้าที่อนุรักษ์ผืนป่าและพรรณไม้ให้มีความอุดมสมบูรณ์ดังเดิม
จะดีแค่ไหนถ้าทุกคนไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนได้รับโอกาสอย่างเท่าเทียมกัน ทั้งโอกาสในการทำกิน โอกาสในการเรียนรู้ และโอกาสที่จะได้อยู่บ้านตัวเองอย่างสงบสุข โดยไม่ต้องสู้กับกฏระเบียบข้อบังคับที่ไม่สอดคล้องกับวิถีชีวิตของเขา
หมายเหตุ: พระราชกฤษฎีกาตามวรรคสองต้องมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือบุคคลที่ไม่มีที่ดินทำกิน และ ได้อยู่อาศัยหรือทำกินในอุทยานแห่งชาติภายใต้กรอบเวลาตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๔๑ เรื่อง การแก้ไขปัญหาที่ดันในพื้นที่ป่าไม้ หรือตามคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๖๖/๒๕๕๗ เรื่อง เพิ่มเติมหน่วยงานสำหรับการปราบปราม หยุดยั้งการบุกรุกทำลายทรัพยากรป่าไม้ และนโยบาย การปฏิบัติงานเป็นการชั่วคราวในสภาวการณ์ปัจจุบัน ลงวันที่ ๑๗ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๗ โดยต้องจัดให้มีแผนที่แสดงแนวเขตโครงการที่จะดำเนินการซึ่งจัดทำด้วยระบบภูมิสารสนเทศหรือ ระบบอื่นซึ่งมีลักษณะใกล้เคียงกันแนบท้ายพระราชกฤษฎีกา และมีระยะเวลาการบังคับใช้คราวละไม่เกินยี่สิบปี และอย่างน้อยต้องมีสาระสำคัญเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การพิจารณา และคุณสมบัติของบุคคลที่อยู่อาศัยหรือทำกินในชุมชนภายใต้โครงการที่จะดำเนินการ หน้าที่ของบุคคลที่อยู่อาศัยหรือทำกินในชุมชน ในการอนุรักษ์ ฟื้นฟู ดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติ ระบบนิเวศ และความหลากหลายทางชีวภาพ ภายในเขตพื้นที่ดำเนินโครงการ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการอยู่อาศัยหรือทำกิน และการสิ้นสุด การอยู่อาศัยหรือทำกิน และมาตรการในการกำกับดูแล การติดตาม และการประเมินผลการดำเนินโครงการ