สถาบันระหว่างประเทศ หน่วยงานของรัฐ (รัฐบาลระดับชาติและระดับภูมิภาค หน่วยงานท้องถิ่น และเทศบาล) บริษัทต่าง ๆ และองค์กรภาคประชาสังคม ต่างกำลังมองหาระบบในการรับมือกับสภาวการณ์ที่ซับซ้อน พวกเขาเห็นพ้องต้องกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ว่าปัญหาที่ซับซ้อนไม่สามารถคลี่คลายได้ด้วยการแก้ไขแบบเฉพาะจุด แต่อย่างที่เราทุกคนทราบ การพูดง่ายนั้นกว่าทำ ในบริบทนี้ UNDP จึงมุ่งสร้างความเข้าใจและทักษะที่จำเป็นเพื่อสนับสนุนการคิดเชิงระบบในทุกระดับขององค์กร ทั้งระดับโลก ระดับภูมิภาค ระดับชาติ และแม้แต่ระดับท้องถิ่น บทความนี้จะเล่าถึงการพัฒนาแนวทางปฏิบัติเหล่านี้ให้กลายเป็นแพลตฟอร์มนวัตกรรมทางสังคมในประเทศไทย ปากีสถาน และอินโดนีเซีย ด้วยความร่วมมือระหว่างทีมธรรมาภิบาลท้องถิ่นของ UNDP ในศูนย์ภูมิภาคกรุงเทพฯ (BRH) และศูนย์การศึกษาสังคมและการเมือง (The Agirre Lehendakaria Center หรือ ALC)
ข้อค้นพบเบื้องต้น 1 : “การวางแนวทางที่เป็นระบบเพื่อการพัฒนามนุษย์อย่างยั่งยืนต้องอาศัยข้อมูลที่มีทั้งปริมาณและคุณภาพ”
ประสบการณ์ที่เราได้รับจากการทำงานในเอเชียใต้ยืนยันความเข้าใจเบื้องต้นของเราที่ว่า ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลัก เช่น รัฐบาล ฝ่ายบริหารของเมือง บริษัท สถาบันการศึกษา องค์กรภาคประชาสังคม และหน่วยงานพัฒนา ยังขาดเครื่องมือเพื่อทำความเข้าใจกับระบบที่พวกเขากำลังพยายามแก้ไข เครื่องมือแบบเก่า (เช่น การสำรวจ ซึ่งไม่ได้ดำเนินการอย่างสม่ำเสมอ) และการทำงานแบบแยกส่วนขององค์กร ทำให้ข้อมูลไม่ปะติดปะต่อ เครื่องมือที่องค์กรเหล่านี้ใช้ในการ “มอง” โลกก็ไม่สอดคล้องกับธรรมชาติอันซับซ้อนของโลกที่เปลี่ยนไป เช่น หากต้องการสร้างพอร์ตโฟลิโอของแนวปฏิบัติแบบบูรณาการเพื่อแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง ก็ควรจะต้องมีข้อมูลที่สะท้อนการรับรู้ของประชาชนในท้องถิ่นด้วย เช่นเดียวกัน พันธมิตร UNDP ก็ยังขาดเครื่องมือและความสามารถที่จำเป็นสำหรับกระบวนการสร้างความหมายร่วมกัน และยังขาดการเชื่อมโยงข้อมูลกับกระบวนการร่วมสร้างสรรค์ การเดินทางของเราไปยังพื้นที่ภาคใต้จึงเป็นไปเพื่อพัฒนาทักษะในการรับฟังและการสร้างความหมายร่วมกัน
ตัวอย่างเช่น ALC และ UNDP ได้ทำงานเกี่ยวกับการวางหลักของแพลตฟอร์มนวัตกรรมทางสังคมสำหรับภาคใต้ของประเทศไทยตั้งแต่ปีที่แล้ว แพลตฟอร์มนี้เน้นไปที่ศักยภาพของการออกแบบระบบอาหารใหม่เพื่อเป็นตัวขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงระบบ จากการรับฟังเชิงชาติพันธุ์วรรณาและดิจิทัลของชุมชนภาคใต้ของไทย และด้วยการประเมินจาก Basque Food Innovation Lab Imago (ก่อตั้งโดยเชฟมิชลินสตาร์ที่มีประสบการณ์ยาวนานหลายทศวรรษด้านระบบอาหารและนวัตกรรม) แพลตฟอร์มนี้ยังได้จัดทำร่างพอร์ตโฟลิโอของความคิดริเริ่มเชิงบูรณาการ ซึ่งรอที่จะได้รับการทดสอบต่อไป
ความคิดริเริ่มเชิงบูรณาการเหล่านี้ นอกเหนือจากการตอบโจทย์ความต้องการและโอกาสที่หลากหลายที่ชุมชนค้นพบ รวมถึงผลกระทบห้าระดับที่กล่าวไปแล้ว ยังมีความเชื่อมโยงถึงกันทั้งเชิงแนวคิด (หมายถึงมีตรรกะเดียวกัน เช่น มีการทดลองช่วงเริ่มต้น 10 ครั้งเกี่ยวกับเทคนิคการหมักของท้องถิ่น และเกี่ยวกับการสร้างระบบดิจิทัลให้กับตลาด) และเชิงกายภาพ (เราได้ทราบจากกระบวนการรับฟังและกระบวนการรับฟังดิจิทัลว่า ตลาดเปรียบได้กับพื้นที่ปลอดภัยสำหรับชุมชนทางศาสนาต่าง ๆ) แพลตฟอร์มจะใช้ตลาดอาหารเป็นพื้นที่ทดลองสำหรับสถานการณ์หลังโควิด 19 และในสัปดาห์ต่อ ๆ ไป ALC และสำนักงาน UNDP ประเทศไทย และศูนย์ภูมิภาค จะยกระดับจากการทดลองไปสู่การปฏิบัติจริง โดยจะใช้ลองนำชุด
ข้อค้นพบเบื้องต้น 2 “กระบวนการร่วมสร้างสรรค์ไม่ได้ให้ความสำคัญที่ขนาด”
จากหลักฐานที่ได้จากแพลตฟอร์มนวัตกรรมทางสังคม เราพบว่าคุณภาพและปริมาณของผลลัพธ์จะแปรผันตรงกับคุณภาพและปริมาณของโอกาสที่เกิดขึ้นจากการสนับสนุนจากภายนอก อย่างไรก็ตาม เราพบว่าโอกาสในการร่วมสร้างสรรค์ยังคงเกิดขึ้นแค่เป็นบางช่วงและค่อนข้างประปรายภายใต้ตรรกะของการจัดดเนินโครงการในปัจจุบันซึ่งขาดการวางระบบที่จำเป็นในการขยายการดำเนินการ
จากประสบการณ์ของ ALC ในการจัดกระบวนการที่คล้ายคลึงกัน (รวมถึงการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมที่เกิดขึ้นในแคว้นบาสก์ในทศวรรษที่ผ่านมา หรือความร่วมมือกับมูลนิธิ La Caixa ในเปรู อินเดีย และโมซัมบิก) กระบวนการร่วมสร้างสรรค์จะต้องผสมผสานการช่วยเหลือในระดับต่าง ๆ เพื่อให้เกิดผลกระทบอย่างเป็นระบบ เช่น การดำเนินการของชุมชน โครงการริเริ่มขนาดเล็กในรูปแบบธุรกิจ โครงการริเริ่มขนาดใหญ่ และความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน การออกแบบและระเบียบข้อบังคับใหม่ของบริการสาธารณะ ตลอดจนการพิจารณาพลวัตของอำนาจและเศรษฐกิจการเมือง นอกจากนี้การแยกแยะความแตกต่างระหว่างโครงการต่าง ๆ (ความคิดริเริ่มที่ออกแบบมาเพื่อบรรลุผลลัพธ์บางอย่างโดยอิงจากประสบการณ์ที่มี) การนำร่อง (ความคิดริเริ่มที่ได้ผลในบริบทอื่นแล้วเรานำมาปรับใช้) และต้นแบบ (แนวคิดใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อให้สามารถทดสอบและเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว) ก็เป็นสิ่งที่ควรทำและมีประโยชน์
เรายังได้จัดทำบันทึกเกี่ยวกับศักยภาพของความคิดริเริ่มเหล่านี้ (โครงการ การนำร่อง และต้นแบบ) สำหรับการดำเนินการในหลายระดับ เรามองว่าการมีต้นแบบแค่ 25 อย่างที่สามารถแก้ปัญหาในระดับ 2 ถึง 5 ตามที่กล่าวไปข้างต้น (พร้อมกับการตอบสนองความต้องการและโอกาสที่ชุมชนค้นพบและเข้าใจ*) มีประโยชน์กว่าการทำพอร์ตโฟลิโอที่มีแนวทางดำเนินการ เป็น 100 อย่าง ที่แต่ละอย่างแก้ปัญหาได้แค่ระดับเดียว
การเรียนรู้ที่สำคัญอีกประการหนึ่งจนถึงตอนนี้ก็คือ เราจะต้องเชื่อมต่อการดำเนินการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเล่าในท้องถิ่นด้วยการเชื่อมโยงหลายระดับและการร่วมสร้างสรรค์ การลงทุนเพื่อสร้างความเชื่อมโยง ไม่ใช่แค่ในการสร้างพอร์ตโฟลิโอ จะช่วยให้การลงทุนมีความเสี่ยงน้อยลง
ข้อค้นพบเบื้องต้น 3 — แนวทางพอร์ตโฟลิโออาจไม่ใช่แนวทางที่เป็นระบบเสมอไป
พอร์ตโฟลิโอเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของการวางแนวทางที่เป็นระบบ แต่วิธีที่เราใช้ในการสร้างพอร์ตโฟลิโอต่างหากที่จะเป็นตัวสร้างความแตกต่าง เราอาจจะสร้างแนวทางช่วยเหลือที่ออกแบบอย่างเหมาะสมและเชื่อมโยงถึงกัน แต่ถ้าแนวทางเหล่านั้นไม่ตอบสนองต่อมุมมองและความต้องการเชิงโครงสร้างที่มีอยู่ (ซึ่งเราจะทราบได้จากการทำแผนที่ระบบและกระบวนการรับฟังอย่างลึกซึ้ง) และถ้าไม่ได้ผ่านกระบวนการร่วมสร้างสรรค์ในหลายระดับ แนวทางเหล่านั้นก็ไม่น่าจะสร้างผลกระทบอย่างเป็นระบบได้
สิ่งนี้อาจดูเหมือนจะซับซ้อน แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่กระบวนการอะไรใหม่ สิ่งที่เราทำคือการสร้างความสำเร็จทีละเล็กละน้อยและค่อย ๆ สร้างข้อมูลเชิงลึกใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นตามกาลเวลา จากนั้นนำสิ่งที่ได้รับมาปรับนิยามและจุดประสงค์ของกระบวนการพื้นฐาน เช่น การทำแผนที่ระบบ การรับฟัง การสร้างความหมายร่วม การร่วมสร้างสรรค์ การทดลองพอร์ตโฟลิโอ การประเมิน การสื่อสาร การระดมทุน การแปลงเป็นดิจิทัล และการพัฒนามนุษย์อย่างยั่งยืนในท้ายที่สุด สิ่งเหล่านี้คือองค์ประกอบ 10 ประการที่ ALC กหนดให้เป็นกุญแจสู่แพลตฟอร์มนวัตกรรมทางสังคม
การลงทุนอย่างยั่งยืนในงาน เวลา และทรัพยากรเพื่อศึกษาการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตามกาลเวลา ไม่เพียงแต่จะช่วยให้เราสามารถผสานมิติทางวัฒนธรรมของแต่ละบริบทเข้ากับกระบวนการสร้างนวัตกรรมทางสังคมได้อย่างแท้จริงเท่านั้น (แนวทางเดียวกันแต่นำไปใช้ในพื้นที่ต่างกัน ในบางครั้งอาจมีผลลัพธ์ที่ตรงกันข้าม) แต่ยังเป็นข้อมูลสำหรับพอร์ตโฟลิโอของเรา เนื่องจากข้อมูลที่ได้มาจากการตอบสนองโดยตรของประชาชน มิฉะนั้น จะกลายเป็นว่า เราจะปล่อยให้มีแต่ผู้เชี่ยวชาญที่ได้ใช้เครื่องมือเหล่านี้เพื่อออกแบบโครงการ และสร้างผลกระทบต่อประชาชน ผู้ซึ่งไม่ได้มีส่วนร่วมกับโครงการเหล่านั้นเลย
ข้อเท็จจริงพื้นฐานเหล่านี้ทำให้เราต้องคิดทบทวนใหม่เกี่ยวกับองค์ประกอบหลายอย่างของความรับผิดชอบประจำวันของเรา ตั้งแต่สาระสำคัญของความร่วมมือและพันธมิตรของเรา ซึ่งมีอิทธิพลต่อวิธีออกแบบโครงการ ไปจนถึงการสร้าง KPI ที่แตกต่างกันสำหรับการประเมินแต่ละอย่าง และที่สำคัญที่สุดคือการเข้าใจความซับซ้อนของระบบที่เรากำลังดำเนินการอยู่ เราจะเข้าใจและเชื่อมโยงระหว่างตัวแสดงหลักและโครงการหลักที่กำลังดำเนินอยู่ในพื้นที่หนึ่ง ๆ ได้อย่างไร? อะไรคือพลวัตทางสังคมที่เกิดขึ้นที่นั่น? ผู้คนแสดงออกถึงพลวัตเหล่านั้นอย่างไร? อะไรคือสิ่งที่เขาให้ความสำคัญอย่างแท้จริง? แม้ว่าเรื่องเล่าและการรับรู้ของผู้คนจะไม่สัมพันธ์กับความเป็นจริงนักหรือสามารถหักล้างได้ง่าย แต่ท้ายที่สุดแล้ว สิ่งเหล่านี้คือเงื่อนไขสู่ความสำเร็จ (หรือความล้มเหลว) ของโครงการที่เราทำ ดังนั้นเราควรมุ่งความสนใจไปที่ประเด็นนี้อย่างจริงจังด้วย
แม้ว่าพอร์ตโฟลิโอจะเชื่อมโยงกับมุมมองของชุมชนเกี่ยวกับความต้องการและโอกาส และเกิดขึ้นจากการร่วมสร้างสรรค์โดยชุมชนที่มีมุมมองเหล่านั้น เราก็จะต้องไม่ลืมว่าการดำเนินการนั้นต้องเกิดขึ้นในหลายระดับเพื่อให้สามารถสร้างผลกระทบที่แท้จริงได้ หากเราให้ความสำคัญแค่เรื่องการสร้างบริการสาธารณะใหม่ หรือแค่การดำเนินการของชุมชน หรือสตาร์ทอัพขนาดเล็กเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง การเปลี่ยนแปลงของเราจะไม่มีวันเป็นระบบ
สิ่งที่เราต้องมีเพื่อรับมือความท้าทายเหล่านี้คือการปรับเปลี่ยนความคิดของเราเองอย่างลึกซึ้ง เพื่อให้เราสามารถมองไปได้ไกลกว่าแค่วาทกรรมผิวเผินที่ผู้ปฏิบัติงานด้านการพัฒนาและนวัตกรรมทางสังคมส่วนใหญ่ยังคงยึดถืออยู่อย่างมาก
การทำงานเพื่อเปลี่ยนแปลงระบบที่ซับซ้อนเริ่มต้นด้วยการยอมรับว่า (1) ไม่มีใครรู้สูตรสำเร็จในการเปลี่ยนแปลงชุมชน เมือง หรือประเทศ และ (2) ไม่มีใครสามารถสร้าง (หรือแม้แต่ออกแบบ) การเปลี่ยนแปลงเชิงระบบเพียงคนเดียวได้ เช่นเดียวกับที่แนวทางแก้ปัญหาแบบเฉพาะจุดไม่สามารถจัดการกับความซับซ้อนได้
*แนวคิดของชุมชนในกรณีนี้ครอบคลุมภาคประชาสังคม ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียภาครัฐ ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียภาคเอกชน นักวิชาการ และผู้เล่นทุกประเภทที่อยู่ในระบบ
การทดลองชุดแรกไปปฏิบัติ และจะทำการประเมินการเปลี่ยนแปลงในระบบด้วยชุดของตรรกะที่ต่างออกไป
——————————————————————
เรื่องโดย Itziar Moreno และ Gorka Espiau จากศูนย์ Agirre Lehendakaria Center (ALC)
* บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ร่วมกันที่หน่วยนวัตกรรมเชิงกลยุทธ์ของโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) ได้ดำเนินการร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ภายในองค์กรและพันธมิตรภายนอกที่สนใจแนวทางนวัตกรรมเชิงกลยุทธ์ในการเปลี่ยนแปลงระบบ