- Published Date: 10/05/2021
- by: UNDP
Peace of Art พื้นที่ปลอดภัยสร้างได้ผ่านกิจกรรมทำอาหารทางเลือก
โควิด-19 กำลังกลับมาอีกครั้ง เช่นกันกับความเครียดและกังวลใจที่พ่วงมาด้วยกับสถานการณ์เช่นนี้
รุส-รุสลีนา มูเล็ง ยังจำความรู้สึกช่วงโควิด-19 ระบาดใหม่ได้ดีว่าโรคระบาดแห่งยุคสมัยสร้างผลกระทบให้คนมากมายขนาดไหน ยิ่งเป็นช่วงล็อกดาวน์การจำกัดพื้นที่ยิ่งเท่ากับจำกัดกิจกรรมเข้าไปอีก
“ตอนแรกเราสนใจศิลปะบำบัดความเครียด เราเห็นภาพว่าเป็นการวาดเขียน วาดเส้น ระบายสี” ความเครียดที่เธอว่านอกจากเรื่องโควิด-19 แล้ว เธอยังนึกถึงความกดดันทั่วๆ ไปในชีวิต รวมถึงความตึงเครียดสะสมในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เธออยู่ แต่พอเธอได้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเมื่อได้เข้าร่วม Youth Co:Lab เธอเริ่มมองศิลปะในมุมที่กว้างขึ้น ว่าอะไรคนถึงจะสนใจเป็นพิเศษ “ศิลปะอาจไม่ได้มีคนสนใจมากขนาดนั้น เราเลยทำการบ้านว่าจะทำอะไรดี เรานึกถึงการปั้นดินน้ำมัน งานคราฟต์ และการทำอาหาร มันน่าสนใจตรงที่อาหารทำให้เราคลายเครียดได้”
ท่ามกลางหลากหลายทางเลือกที่เธอมองหา รุสบอกว่าการทำอาหารโดดเด่นที่สุด
“อาหารเป็นอะไรที่ทุกคนเข้าถึงและลงมือปฏิบัติได้” ในช่วงล็อกดาวน์รอบแรก รุสสังเกตเห็นว่าการเข้าครัวกลายมาเป็นกิจกรรมของใครหลายๆ คน และท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจซบเซา ธุรกิจหลายแขนงปิดตัวก็มีอาหารนี่แหละที่คงอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังเห็นร้านอาหารใหม่เกิดขึ้นบ้างด้วย
“เราเลยสังเกตพฤติกรรมของคนวัยรุ่นวัยมหาลัย เราเห็นว่าเขาชอบเช็คอิน ชอบถ่ายรูปลงโซเชียล เราเลยคิดลองจัดกิจกรรมทำอาหารที่เขาได้ทั้งทำเองและถ่ายรูปลงได้ด้วย มันน่าจะสร้างคุณค่าได้มากกว่าการซื้อแล้วถ่ายลงโซเชียล”
Peace of Art มีคอนเซ็ปต์กว้างๆ ว่าด้วยเรื่องการส่งเสริมสุขภาวะที่ดีและการมีกิจกรรมทางเลือกเพื่อลดความเครียดจึงก่อร่างสร้างตัวขึ้น
ปั้นโปรเจ็กต์
รุสทดลองทำเวิร์คช็อปโดยให้เป็นส่วนผสมระหว่างการทำอาหารและการบำบัดความเครียด การทำอาหารของเธอไม่ได้จำเป็นว่าต้องรสชาติดีเด่น แต่เน้นความเป็นตัวเองและความคิดสร้างสรรค์
เวิร์คช็อปแรก Peace of Art ชัดเจนตั้งแต่การประชาสัมพันธ์ว่าจะเป็น Cooking Therapy
“ปรากฏคนส่วนใหญ่คิดว่าเราจะสอนทำอาหารจริงจัง” ที่เป็นเช่นนั้นรุสมีสมมติฐานว่าอาจเป็นเพราะคอนเซ็ปต์ของการทำอาหารเพื่อการบำบัดยังไม่เป็นที่รู้จักมากนักในพื้นที่จังหวัดยะลา ทั้งนี้สิ่งที่บรรจุลงไปในเวิร์คช็อปครั้งแรกของเธอผสมสาระทั้งด้านอาหารและด้านการเข้าใจความเครียดไว้ด้วยกัน โดยมีวิทยากรมาให้ความรู้เรื่องโภชนาการอาหารควบคู่ไปด้วย แต่แทนที่จะให้ทุกคนทำตามสูตรทีละขั้นทีละตอนแบบเป๊ะๆ การทำอาหารในเวิร์คช็อปของเธอกลับเป็นไปในทางตรงข้าม เพราะไม่ได้มีสูตรตายตัว
“เราเห็นว่าเวิร์คช็อปที่จัดขึ้นมันมีพื้นที่พูดคุยมากกว่าการทำอาหารทั่วๆ ไป เพราะอาหารของเราไม่ได้เน้นรสชาติ แต่เน้นความสร้างสรรค์ เน้นความเป็นตัวคุณเข้าไปเลย”
การจัดกิจกรรมครั้งแรกผ่านไปได้ด้วยดี มีผู้เข้าร่วมแปดคน รุสถอดบทเรียนสิ่งที่อยากแก้ไขและพัฒนาในครั้งต่อไป
“เราพบว่าไม่ใช่ทุกคนแก้ความเครียดด้วยวิธีนี้ พอเราดูลึกลงไปเราพบว่าคนจะแก้ความเครียดด้วยวิธีไหนก็ได้ จะไปเที่ยว ออกกำลัง และไม่ใช่ทุกคนชอบทำอาหาร แต่สิ่งหนึ่งที่เราเห็นประโยชน์ชัดจากการจัดเวิร์คช็อปคือเขาต้องการพื้นที่ปลอดภัย ให้เขาได้เจอตัวเอง ได้ระบายตัวเองออกมา”
รุสยังเสริมอีกว่าหลายๆ คนไม่ได้สื่อสารหรืออาจไม่ได้สังเกตว่าตัวเองมีความเครียดมากน้อยแค่ไหนอย่างตรงไปตรงมา การจัดเวิร์คช็อปเพื่อผ่อนคลายความเครียดโดยตรงจึงอาจยังไม่ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายเท่าที่ควร แต่การสร้างพื้นที่ปลอดภัยต่างหากที่รุสเห็นว่าจำเป็นมากในสถานการณ์แบบนี้
จากแก้เครียดสู่สร้างพื้นที่ปลอดภัย
เมื่อ Peace of Art ได้รับทุนไปพัฒนาโปรเจ็กต์รอบที่สองเธอจึงบิดชื่อเวิร์กช็อปว่า “คิดเช่นกันไหม” ทั้งเป็นการเชิญชวนคนให้เข้าครัว และเป็นคำพ้องเสียง เป็นไปดั่งที่คาดคิด พอเปลี่ยนวิธีประชาสัมพันธ์เธอได้คนสมัครเข้าร่วมเวิร์คช็อปมากยิ่งขึ้น โดยรุสเก็บความตั้งใจเรื่องสร้างพื้นที่ปลอดภัยไว้เป็นประเด็นหลักของเวิร์คช็อปผ่านอาหารครั้งนี้ โดยรุสให้ทุกคนแนะนำตัวผ่านอาหารจานโปรด
“เราเซ็ตไว้ว่าจะไม่รู้จักฉันไม่รู้จักเธอ ให้แนะนำตัวผ่านอาหารที่ชอบ ตลอดกิจกรรมเราจะไม่เรียกด้วยชื่อตัวเอง” เธออธิบายกิมมิกเล็กๆ น้อยๆ ที่มีนัยยะสำคัญ
ครึ่งแรกของเวิร์กช็อปทั้งหมดว่าด้วยการละลายพฤติกรรมและแลกเปลี่ยนความคิดความรู้สึก
“เรามีกิจกรรมที่เรียกว่ากระจกที่ไม่สะท้อนกลับ ให้ผู้เข้าร่วมจับคู่กันเพื่อพูดและฟังอย่างตั้งใจโดยไม่ต้องตอบโต้ ไม่ตัดสิน” รุสอธิบายว่าในกิจกรรมมีกระบวนกรที่ตั้งหัวข้อมาชวนพูดคุย เช่น สิ่งที่อยากปรับปรุง เรื่องที่อยากให้กำลังใจตัวเอง โดยพูดให้กับอีกคนฟังซึ่งอีกฝ่ายมีหน้าที่เพียงฟังอย่างตั้งใจเท่านั้น “ส่วนใหญ่เวลาเราพูดอะไรมักจะถูกตัดสิน ผู้ฟังมักให้ความเห็นตามประสบการณ์ที่ตัวเองเคยเจอมา แต่จริงๆ แล้วแต่ละคนใส่รองเท้าไม่เหมือนกัน เจอเรื่องราวมาไม่เหมือนกัน เราเลยอยากให้การฟังที่เกิดขึ้นในเวิร์กช็อปเป็นการฟังอย่างตั้งใจโดยไม่ต้องการการตอบกลับ คล้ายๆ กับพูดให้ตัวเองฟังมากกว่า เป็นการให้กำลังใจตัวเองดังๆ”
นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมเบาๆ ชวนละลายพฤติกรรมระหว่างผู้เข้าร่วมโดยใช้อาหารเป็นหัวข้อในการพูดคุย เช่น ชวนกันแบ่งปันสูตรเฉพาะแต่ละบ้านในเมนูสุดมาตรฐานอย่างไข่เจียว เป็นต้น
พอผู้เข้าร่วมได้แลกเปลี่ยนและเริ่มรู้สึกปลอดภัยกับพื้นที่นี้ ถัดมาจึงเป็นการเข้าครัวจริง โดยแต่ละคนได้รับเซ็ตตกแต่งเค้กคนละกล่อง มีครีม มีโยเกิร์ต และอื่นๆ ตามเลือกสรร อาหารที่นำเสนอใน Peace of Art เป็นอาหารที่ไม่ต้องใช้อุปกรณ์เยอะ ไม่ต้องเคร่งเครียดกับสูตร แต่เน้นความคิดสร้างสรรค์และความเป็นตัวเอง
“เราอยากให้ทุกคนได้อยู่กับตัวเอง โดยแต่ละคนรังสรรในแบบฉบับตัวเอง ได้อยู่กับตัวเอง จะใส่อะไรก็ได้ที่เป็นตัวเอง” รุสอธิบายต่อว่าการทำอะไรเล็กๆ น้อยๆ และให้เวลากับตัวเองแบบนี้ ทำให้ผู้เข้าร่วมได้สะท้อนตัวตนผ่านสิ่งที่ทำ
“บางคนละเอียดนุ่มนวลมันก็สะท้อนจากการที่เขาใส่อย่างหนึ่งก่อนอีกอย่างหนึ่ง” เมื่อจบเวิร์คช็อปรุสก็มีแบบสอบถามให้กับผู้เข้าร่วมว่ารู้สึกอย่างไรกับเวิร์คช็อปครั้งนี้ ผลโดยรวมเป็นที่น่าพอใจ
“สุดท้ายคือผู้เข้าร่วมไม่เครียด สนุกสนาน สร้างพื้นที่แลกเปลี่ยนกัน และที่สำคัญที่สุดคือมีพื้นที่ปลอดภัยในการพูดคุยและคลายเครียด”
ต่อยอดกิจกรรม
หากมีโอกาสจัดกิจกรรมลักษณะนี้ขึ้นอีกหรือได้พัฒนาโครงการต่อ รุสบอกว่า Peace of Art สนใจจัดต่อแบบครั้งที่สองตั้งแต่การประชาสัมพันธ์ไปจนถึงตัวกิจกรรม การทำให้พื้นที่ตรงนี้มีคนทุกเพศเข้ามาคือความท้าทายที่เธออยากก้าวข้ามให้ได้ เพราะที่ผ่านมามีเพียงผู้เข้าร่วมเพศหญิงเท่านั้น
และในระยะยาวเธอคิดต่อยอดถึงขั้นเปิดเป็นคาเฟ่
“ถ้าจะทำให้โดดเด่นเราอาจทำเป็นคาเฟ่คลายเครียด จะมีเซ็ตอาหาร DIY ที่ได้ใช้เวลาอยู่กับตัวเอง ตัวเมนูอาจเปลี่ยนไปเรื่อยๆ โดยแบ่งอาหารออกเป็นหลายประเภททั้งสายเฮลตี้และสายทั่วไป” รุสเล่าต่อว่าเธออยากสร้างความภูมิใจง่ายๆ ให้กับทุกคนซึ่งการได้ลงมือตกแต่งหรือปรุงอาหารด้วยตัวเองก็เป็นหนึ่งในวิธีสร้างคุณค่าให้ตัวเองได้
ไม่เพียงเท่านี้เธอยังคิดว่าจะจัดเวิร์กช็อปรายเดือนเพื่อให้มีกิจกรรมบำบัดความเครียดเสริมเข้ามาด้วย รวมถึงมีคอร์สพิเศษสำหรับคนที่รู้สึกอยากผ่อนคลายความเครียดผ่านการทำอาหารแบบเดี่ยว
และหากคาเฟ่เป็นจริงเธอยังนึกถึงไอเดียตั้งต้นเรื่องศิลปะบำบัดมาดัดแปลงผ่านการใช้สีจากอาหารมาวาดภาพด้วย
ทั้งนี้รุสเล่าว่าจากจุดเริ่มต้นเล็กๆ ของเธอที่ลองส่งโครงการเข้าร่วม Youth Co:Lab สิ่งที่เธอได้เรียนรู้รับว่ามาไกลมาก โดยเฉพาะมุมมองด้านธุรกิจผ่าน Business Model Canvas ที่เธอไม่เคยเรียนรู้มาก่อน รวมถึงการทำหาอินไซต์ที่ทำให้เธอออกแบบงานได้ตรงโจทย์ความต้องการของผู้เข้าร่วมและเดินต่อได้ถูกทางมากยิ่งขึ้น มีเครื่องมือไปใช้กับผู้เข้าร่วมได้หลากหลายยิ่งขึ้น