- Published Date: 14/06/2023
- by: UNDP
เสียงที่ไม่เคยได้ยิน: เรื่องราวที่ไม่ถูกเล่าของเยาวชนมุสลิม ผ่านวงสนทนา Youth Dialogue
ลองนึกภาพครอบครัวมุสลิมใช้บริการรถแท็กซี่ และแต่งกายด้วยเสื้อผ้าแบบดั้งเดิม พวกเขาได้รับสีหน้าที่แปลกและดูอึดอัดจากคนขับรถ แต่ครอบครัวก็ไม่แปลกใจ เพราะพวกเขาคุ้นเคยกับการถูกจ้องมอง และการที่ต้องอธิบายวัฒนธรรมและค่านิยมของพวกเขาในฐานะครอบครัวมุสลิมที่อาศัยอยู่ในประเทศที่ศาสนามุสลิมเป็นคนกลุ่มน้อยของประเทศ
เพราะเรื่องราวของพี่น้องมุสลิม อาจจะไม่เคยถูกพูดถึงนักในกระแสหลัก ทั้งในการศึกษา สื่อกระแสหลัก ฯลฯ จึงทำให้บางครั้งบริการหรือกิจกรรมต่างๆในประเทศ อาจจะไม่สอดคล้องกับวิถีปฏิบัติของพวกเขา ส่งผลให้เขาอาจจะไม่ได้เข้ามามีส่วนร่วมในสังคม เราจึงชวนมาพูดคุยแลกเปลี่ยนวิถีชีวิตที่คนกลุ่มนี้เผชิญ จากมุมมองการใช้ชีวิตของพวกเขา ผ่านวงสนทนาเยาวชน “Leave No One Behind” ซึ่งเป็นบทสนทนาเยาวชนกับกลุ่มที่มีอัตลักษณ์หลากหลาย รวมไปถึงกลุ่มคนมุสลิม
ปัญหาและอุปสรรคที่เยาวชนมุสลิมในประเทศไทยกำลังพบเจอ เกิดขึ้นจากภูมิทัศน์ทางสังคมและการเมืองที่ซับซ้อนของประเทศ ชาวมุสลิมในประเทศไทยซึ่งส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในจังหวัดทางภาคใต้ ถึงแม้ว่าพวกเขาเป็นคนไทย วัฒนธรรมและการปฏิบัติทางศาสนาของพวกเขาแตกต่างจากประชากรส่วนใหญ่ที่นับถือศาสนาพุทธสิ่งนี้สามารถนำไปสู่ความรู้สึกของการถูกกีดกันสำหรับเยาวชนมุสลิมในประเทศไทยที่เราอาจจะนึกไม่ถึง แต่เราจะชวนมาสำรวจปัญหาที่เยาวชนมุสลิมในประเทศไทยเผชิญอยู่จากวงสนทนานี้กัน
อคติทางสังคมที่ชาวมุสลิมเผชิญ
สิ่งแรกที่เป็นประเด็นหลักในแลกเปลี่ยนประสบการณ์คืออคติทางสังคม เยาวชนมุสลิมในประเทศไทยต้องเผชิญกับการเลือกปฏิบัติและอคติที่มาจากการปฏิบัติทางศาสนาและวัฒนธรรมของพวกเขา เมื่อได้ใช้เวลาในการพูดคุยถึงอุปสรรคและสิ่งที่ได้พบเจอในฐานะคนมุสลิม เหมือนกับว่าสิ่งนี้จะเป็นประสบการณ์ร่วมของเหล่ามุสลิมในไทยก็ว่าได้ สิ่งนี้สามารถอยู่ในรูปแบบของการกีดกันทางสังคม การเหมารวม และการมีภาพจำแต่สิ่งที่เป็นเชิงลบเกี่ยวกับพวกเขา เช่น ทัศนคติเหล่านี้อาจทำให้เยาวชนมุสลิมมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ในสังคมได้ยาก และอาจถูกจำกัดโอกาสทางการศึกษาและการมีส่วนร่วมทางสังคม ปัญหานี้เกิดจากการขาดความตระหนักรู้และการศึกษาเกี่ยวกับชุมชนมุสลิมในประเทศไทย ซึ่งอาจจะนำไปสู่ถึงความกลัวหรือการไม่เห็นความสำคัญในการเริ่มบทสนทนาและความเข้าใจระหว่างศาสนา ด้วยเหตุนี้จึงทำให้คนมุสลิมจำนวนมากมีความจำเป็นที่ต้องมีความพยายามร่วมกันเพื่อต่อสู้กับปัญหาเหล่านี้ ผ่านสื่อและโครงการเข้าถึงชุมชน
เมื่อ “บ้าน” ไม่เคยเป็นที่ปลอดภัย
เมื่อถามถึงอุปสรรคหลักในการใช้ชีวิต จะมีเรื่องหนึ่งที่ต้องถูกยกขึ้นมาพูดเสมอจากพี่น้องมุสลิมในสามจังหวัดชายแดนใต้ สามจังหวัดชายแดนใต้ของประเทศไทยมีปัญหาความไม่มั่นคงทางการเมืองและความรุนแรงมาเป็นเวลาหลายปี สิ่งนี้ได้สร้างความรู้สึกไม่ปลอดภัยและความหวาดกลัวในหมู่เยาวชนมุสลิมในภาคใต้ ทำให้โอกาสในอนาคตของพวกเขาถูกจำกัด เพื่อแก้ไขปัญหานี้ จำเป็นต้องมีการริเริ่มบทสนทนามากขึ้นในเรื่องนี้ การริเริ่มสร้างสันติภาพและการแก้ไขข้อขัดแย้ง ซึ่งอาจรวมถึงความคิดริเริ่มที่ส่งเสริมการพูดคุยและความเข้าใจระหว่างชุมชนต่างๆ ตลอดจนโครงการที่กล่าวถึงสาเหตุของความขัดแย้ง เช่น ความยากจน ความไม่เท่าเทียม และการเลือกปฏิบัติ เยาวชนมุสลิมในประเทศไทยมักประสบกับความเสียเปรียบทางเศรษฐกิจเนื่องจากความเหลื่อมล้ำของชุมชน ซึ่งอาจทำให้พวกเขาหางานหรือเข้าถึงโอกาสทางเศรษฐกิจได้ยาก ซึ่งอาจส่งผลระยะยาวต่ออนาคตของพวกเขา สิ่งนี้เป็นประเด็นหลักที่ถูกยกขึ้นมาพูดในวงสนทนาตลอดเวลา
พ่อแม่หรือผู้ปกครองของเยาวชนมุสลิมส่วนใหญ่ในภาคใต้ไม่ส่งเสริมให้ลูกออกไปเรียนนอกพื้นที่จังหวัดเท่าไหร่นัก เนื่องจากปัญหาความรุนแรงที่เกิดขึ้น ทำให้พวกเขาเลือกที่จะให้ลูกอยู่ที่บ้าน เพื่อช่วยดูแลความปลอดภัยให้กันและกันมากกว่า เกิดจากความเป็นห่วง บวกกับการที่ถูกจำกัดโอกาสในสังคม ทำให้พวกเขามีรายได้น้อย สิ่งนี้เชื่อมโยงโดยตรงกับความไม่มั่นคงทางการเมืองในพื้นที่ ซึ่งยังเป็นอุปสรรคหลักที่แก้ไขได้ยาก
การเข้าถึงการศึกษาจึงเป็นความท้าทายต่อเนื่องที่สำคัญสำหรับเยาวชนมุสลิมในประเทศไทย โดยเฉพาะในจังหวัดทางภาคใต้ ระบบการศึกษาในพื้นที่เหล่านี้มักได้รับทุนสนับสนุนไม่เพียงพอและมีบุคลากรไม่เพียงพอ ส่งผลให้มีทรัพยากรและสิ่งอำนวยความสะดวกที่จำกัด นอกจากนี้ นักเรียนมุสลิมที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่คนรอบตัวเป็นคนพุทธนั้น อาจเผชิญกับการเลือกปฏิบัติและอคติจากครูและเพื่อนร่วมชั้น ทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จทางวิชาการได้ยาก เพื่อแก้ไขปัญหานี้ จำเป็นต้องมีการลงทุนด้านการศึกษาในจังหวัดภาคใต้มากขึ้น ซึ่งอาจรวมถึงการสร้างโรงเรียนใหม่ การจ้างครูเพิ่ม และการจัดหาทรัพยากรและการสนับสนุนแก่นักเรียน นอกจากนี้ จำเป็นต้องมีความตระหนักและการศึกษามากขึ้นเกี่ยวกับความสำคัญของการศึกษาสำหรับสมาชิกทุกคนในสังคม โดยไม่คำนึงถึงภูมิหลังหรือศาสนาของพวกเขา
สภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการปรับตัวก็เป็นอีกสิ่งที่จำเป็น มีเยาวชนมุสลิมอีกมากที่ต้องการเข้ามาเรียนในกรุงเทพเพื่อคุณภาพการศึกษาที่ดีกว่า แต่กลับต้องเจอกับปัญหาที่เกิดจากความไม่คำนึงถึงความเชื่อทางศาสนา เช่น การหาอาหารฮาลาล ในสถานศึกษามีน้อยหรือบางแห่งอาจไม่มีเลย สิ่งนี้ก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้เยาวชนมุสลิมอาจรู้สึกว่าไม่เป็นหนึ่งในสังคมและถูกละเลยได้
จากบทสนทนาในครั้งนี้ทำให้เราได้เรียนรู้และเข้าใจวิถีปฏิบัติของพี่น้องมุสลิมมากขึ้น รวมไปถึงบริบทเฉพาะจากชาวมุสลิมในสามจังหวัดชายแดนใต้ เพราะเยาวชนมุสลิมในประเทศไทยต้องเผชิญกับความท้าทายต่างๆ ที่เราอาจจะไม่ได้นึกถึง เนื่องจากความไม่คุ้นเคยในวิถีปฏิบัติของศาสนา ภูมิทัศน์ทางสังคมและการเมืองที่ซับซ้อนของประเทศ เพื่อรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ จำเป็นต้องมีการลงทุนด้านการศึกษา การพัฒนาเศรษฐกิจ และการริเริ่มสร้างสันติภาพมากขึ้น
ที่สำคัญคือ การแก้ปัญหานี้เป็นความรับผิดชอบของคนทุกศาสนา จึงจำเป็นต้องมีการตระหนักรู้และให้การศึกษามากขึ้นเกี่ยวกับชุมชนมุสลิมในประเทศไทยเพื่อต่อสู้กับการเลือกปฏิบัติและอคติ ด้วยการทำงานร่วมกัน เราสามารถสร้างสังคมที่มีความครอบคลุมและเท่าเทียมกันมากขึ้นสำหรับสมาชิกทุกคนในชุมชน