• Published Date: 10/05/2021
  • by: UNDP

Peace of Art พื้นที่ปลอดภัยสร้างได้ผ่านกิจกรรมทำอาหารทางเลือก

โควิด-19 กำลังกลับมาอีกครั้ง เช่นกันกับความเครียดและกังวลใจที่พ่วงมาด้วยกับสถานการณ์เช่นนี้

รุส-รุสลีนา มูเล็ง ยังจำความรู้สึกช่วงโควิด-19 ระบาดใหม่ได้ดีว่าโรคระบาดแห่งยุคสมัยสร้างผลกระทบให้คนมากมายขนาดไหน ยิ่งเป็นช่วงล็อกดาวน์การจำกัดพื้นที่ยิ่งเท่ากับจำกัดกิจกรรมเข้าไปอีก

              “ตอนแรกเราสนใจศิลปะบำบัดความเครียด เราเห็นภาพว่าเป็นการวาดเขียน วาดเส้น ระบายสี” ความเครียดที่เธอว่านอกจากเรื่องโควิด-19 แล้ว เธอยังนึกถึงความกดดันทั่วๆ ไปในชีวิต รวมถึงความตึงเครียดสะสมในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เธออยู่ แต่พอเธอได้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเมื่อได้เข้าร่วม Youth Co:Lab เธอเริ่มมองศิลปะในมุมที่กว้างขึ้น ว่าอะไรคนถึงจะสนใจเป็นพิเศษ “ศิลปะอาจไม่ได้มีคนสนใจมากขนาดนั้น เราเลยทำการบ้านว่าจะทำอะไรดี เรานึกถึงการปั้นดินน้ำมัน งานคราฟต์ และการทำอาหาร มันน่าสนใจตรงที่อาหารทำให้เราคลายเครียดได้”

             ท่ามกลางหลากหลายทางเลือกที่เธอมองหา รุสบอกว่าการทำอาหารโดดเด่นที่สุด

             “อาหารเป็นอะไรที่ทุกคนเข้าถึงและลงมือปฏิบัติได้” ในช่วงล็อกดาวน์รอบแรก รุสสังเกตเห็นว่าการเข้าครัวกลายมาเป็นกิจกรรมของใครหลายๆ คน และท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจซบเซา ธุรกิจหลายแขนงปิดตัวก็มีอาหารนี่แหละที่คงอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังเห็นร้านอาหารใหม่เกิดขึ้นบ้างด้วย

“เราเลยสังเกตพฤติกรรมของคนวัยรุ่นวัยมหาลัย เราเห็นว่าเขาชอบเช็คอิน ชอบถ่ายรูปลงโซเชียล เราเลยคิดลองจัดกิจกรรมทำอาหารที่เขาได้ทั้งทำเองและถ่ายรูปลงได้ด้วย มันน่าจะสร้างคุณค่าได้มากกว่าการซื้อแล้วถ่ายลงโซเชียล”

Peace of Art มีคอนเซ็ปต์กว้างๆ ว่าด้วยเรื่องการส่งเสริมสุขภาวะที่ดีและการมีกิจกรรมทางเลือกเพื่อลดความเครียดจึงก่อร่างสร้างตัวขึ้น

  


ปั้นโปรเจ็กต์

              รุสทดลองทำเวิร์คช็อปโดยให้เป็นส่วนผสมระหว่างการทำอาหารและการบำบัดความเครียด การทำอาหารของเธอไม่ได้จำเป็นว่าต้องรสชาติดีเด่น แต่เน้นความเป็นตัวเองและความคิดสร้างสรรค์

              เวิร์คช็อปแรก Peace of Art ชัดเจนตั้งแต่การประชาสัมพันธ์ว่าจะเป็น Cooking Therapy

              “ปรากฏคนส่วนใหญ่คิดว่าเราจะสอนทำอาหารจริงจัง” ที่เป็นเช่นนั้นรุสมีสมมติฐานว่าอาจเป็นเพราะคอนเซ็ปต์ของการทำอาหารเพื่อการบำบัดยังไม่เป็นที่รู้จักมากนักในพื้นที่จังหวัดยะลา ทั้งนี้สิ่งที่บรรจุลงไปในเวิร์คช็อปครั้งแรกของเธอผสมสาระทั้งด้านอาหารและด้านการเข้าใจความเครียดไว้ด้วยกัน โดยมีวิทยากรมาให้ความรู้เรื่องโภชนาการอาหารควบคู่ไปด้วย แต่แทนที่จะให้ทุกคนทำตามสูตรทีละขั้นทีละตอนแบบเป๊ะๆ การทำอาหารในเวิร์คช็อปของเธอกลับเป็นไปในทางตรงข้าม เพราะไม่ได้มีสูตรตายตัว

“เราเห็นว่าเวิร์คช็อปที่จัดขึ้นมันมีพื้นที่พูดคุยมากกว่าการทำอาหารทั่วๆ ไป เพราะอาหารของเราไม่ได้เน้นรสชาติ แต่เน้นความสร้างสรรค์ เน้นความเป็นตัวคุณเข้าไปเลย” 

การจัดกิจกรรมครั้งแรกผ่านไปได้ด้วยดี มีผู้เข้าร่วมแปดคน รุสถอดบทเรียนสิ่งที่อยากแก้ไขและพัฒนาในครั้งต่อไป

“เราพบว่าไม่ใช่ทุกคนแก้ความเครียดด้วยวิธีนี้ พอเราดูลึกลงไปเราพบว่าคนจะแก้ความเครียดด้วยวิธีไหนก็ได้ จะไปเที่ยว ออกกำลัง และไม่ใช่ทุกคนชอบทำอาหาร แต่สิ่งหนึ่งที่เราเห็นประโยชน์ชัดจากการจัดเวิร์คช็อปคือเขาต้องการพื้นที่ปลอดภัย ให้เขาได้เจอตัวเอง ได้ระบายตัวเองออกมา”

รุสยังเสริมอีกว่าหลายๆ คนไม่ได้สื่อสารหรืออาจไม่ได้สังเกตว่าตัวเองมีความเครียดมากน้อยแค่ไหนอย่างตรงไปตรงมา การจัดเวิร์คช็อปเพื่อผ่อนคลายความเครียดโดยตรงจึงอาจยังไม่ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายเท่าที่ควร แต่การสร้างพื้นที่ปลอดภัยต่างหากที่รุสเห็นว่าจำเป็นมากในสถานการณ์แบบนี้

 


จากแก้เครียดสู่สร้างพื้นที่ปลอดภัย

 เมื่อ Peace of Art ได้รับทุนไปพัฒนาโปรเจ็กต์รอบที่สองเธอจึงบิดชื่อเวิร์กช็อปว่า “คิดเช่นกันไหม” ทั้งเป็นการเชิญชวนคนให้เข้าครัว และเป็นคำพ้องเสียง เป็นไปดั่งที่คาดคิด พอเปลี่ยนวิธีประชาสัมพันธ์เธอได้คนสมัครเข้าร่วมเวิร์คช็อปมากยิ่งขึ้น โดยรุสเก็บความตั้งใจเรื่องสร้างพื้นที่ปลอดภัยไว้เป็นประเด็นหลักของเวิร์คช็อปผ่านอาหารครั้งนี้ โดยรุสให้ทุกคนแนะนำตัวผ่านอาหารจานโปรด

“เราเซ็ตไว้ว่าจะไม่รู้จักฉันไม่รู้จักเธอ ให้แนะนำตัวผ่านอาหารที่ชอบ ตลอดกิจกรรมเราจะไม่เรียกด้วยชื่อตัวเอง” เธออธิบายกิมมิกเล็กๆ น้อยๆ ที่มีนัยยะสำคัญ

ครึ่งแรกของเวิร์กช็อปทั้งหมดว่าด้วยการละลายพฤติกรรมและแลกเปลี่ยนความคิดความรู้สึก

“เรามีกิจกรรมที่เรียกว่ากระจกที่ไม่สะท้อนกลับ ให้ผู้เข้าร่วมจับคู่กันเพื่อพูดและฟังอย่างตั้งใจโดยไม่ต้องตอบโต้ ไม่ตัดสิน” รุสอธิบายว่าในกิจกรรมมีกระบวนกรที่ตั้งหัวข้อมาชวนพูดคุย เช่น สิ่งที่อยากปรับปรุง เรื่องที่อยากให้กำลังใจตัวเอง โดยพูดให้กับอีกคนฟังซึ่งอีกฝ่ายมีหน้าที่เพียงฟังอย่างตั้งใจเท่านั้น “ส่วนใหญ่เวลาเราพูดอะไรมักจะถูกตัดสิน ผู้ฟังมักให้ความเห็นตามประสบการณ์ที่ตัวเองเคยเจอมา แต่จริงๆ แล้วแต่ละคนใส่รองเท้าไม่เหมือนกัน เจอเรื่องราวมาไม่เหมือนกัน เราเลยอยากให้การฟังที่เกิดขึ้นในเวิร์กช็อปเป็นการฟังอย่างตั้งใจโดยไม่ต้องการการตอบกลับ คล้ายๆ กับพูดให้ตัวเองฟังมากกว่า เป็นการให้กำลังใจตัวเองดังๆ”

นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมเบาๆ ชวนละลายพฤติกรรมระหว่างผู้เข้าร่วมโดยใช้อาหารเป็นหัวข้อในการพูดคุย เช่น ชวนกันแบ่งปันสูตรเฉพาะแต่ละบ้านในเมนูสุดมาตรฐานอย่างไข่เจียว เป็นต้น

พอผู้เข้าร่วมได้แลกเปลี่ยนและเริ่มรู้สึกปลอดภัยกับพื้นที่นี้ ถัดมาจึงเป็นการเข้าครัวจริง โดยแต่ละคนได้รับเซ็ตตกแต่งเค้กคนละกล่อง มีครีม มีโยเกิร์ต และอื่นๆ ตามเลือกสรร อาหารที่นำเสนอใน Peace of Art เป็นอาหารที่ไม่ต้องใช้อุปกรณ์เยอะ ไม่ต้องเคร่งเครียดกับสูตร แต่เน้นความคิดสร้างสรรค์และความเป็นตัวเอง

“เราอยากให้ทุกคนได้อยู่กับตัวเอง โดยแต่ละคนรังสรรในแบบฉบับตัวเอง ได้อยู่กับตัวเอง จะใส่อะไรก็ได้ที่เป็นตัวเอง” รุสอธิบายต่อว่าการทำอะไรเล็กๆ น้อยๆ และให้เวลากับตัวเองแบบนี้ ทำให้ผู้เข้าร่วมได้สะท้อนตัวตนผ่านสิ่งที่ทำ

“บางคนละเอียดนุ่มนวลมันก็สะท้อนจากการที่เขาใส่อย่างหนึ่งก่อนอีกอย่างหนึ่ง” เมื่อจบเวิร์คช็อปรุสก็มีแบบสอบถามให้กับผู้เข้าร่วมว่ารู้สึกอย่างไรกับเวิร์คช็อปครั้งนี้ ผลโดยรวมเป็นที่น่าพอใจ

“สุดท้ายคือผู้เข้าร่วมไม่เครียด สนุกสนาน สร้างพื้นที่แลกเปลี่ยนกัน และที่สำคัญที่สุดคือมีพื้นที่ปลอดภัยในการพูดคุยและคลายเครียด”


ต่อยอดกิจกรรม

หากมีโอกาสจัดกิจกรรมลักษณะนี้ขึ้นอีกหรือได้พัฒนาโครงการต่อ รุสบอกว่า Peace of Art สนใจจัดต่อแบบครั้งที่สองตั้งแต่การประชาสัมพันธ์ไปจนถึงตัวกิจกรรม การทำให้พื้นที่ตรงนี้มีคนทุกเพศเข้ามาคือความท้าทายที่เธออยากก้าวข้ามให้ได้ เพราะที่ผ่านมามีเพียงผู้เข้าร่วมเพศหญิงเท่านั้น 

และในระยะยาวเธอคิดต่อยอดถึงขั้นเปิดเป็นคาเฟ่

“ถ้าจะทำให้โดดเด่นเราอาจทำเป็นคาเฟ่คลายเครียด จะมีเซ็ตอาหาร DIY ที่ได้ใช้เวลาอยู่กับตัวเอง ตัวเมนูอาจเปลี่ยนไปเรื่อยๆ โดยแบ่งอาหารออกเป็นหลายประเภททั้งสายเฮลตี้และสายทั่วไป” รุสเล่าต่อว่าเธออยากสร้างความภูมิใจง่ายๆ ให้กับทุกคนซึ่งการได้ลงมือตกแต่งหรือปรุงอาหารด้วยตัวเองก็เป็นหนึ่งในวิธีสร้างคุณค่าให้ตัวเองได้
ไม่เพียงเท่านี้เธอยังคิดว่าจะจัดเวิร์กช็อปรายเดือนเพื่อให้มีกิจกรรมบำบัดความเครียดเสริมเข้ามาด้วย รวมถึงมีคอร์สพิเศษสำหรับคนที่รู้สึกอยากผ่อนคลายความเครียดผ่านการทำอาหารแบบเดี่ยว

และหากคาเฟ่เป็นจริงเธอยังนึกถึงไอเดียตั้งต้นเรื่องศิลปะบำบัดมาดัดแปลงผ่านการใช้สีจากอาหารมาวาดภาพด้วย

ทั้งนี้รุสเล่าว่าจากจุดเริ่มต้นเล็กๆ ของเธอที่ลองส่งโครงการเข้าร่วม Youth Co:Lab สิ่งที่เธอได้เรียนรู้รับว่ามาไกลมาก โดยเฉพาะมุมมองด้านธุรกิจผ่าน Business Model Canvas ที่เธอไม่เคยเรียนรู้มาก่อน รวมถึงการทำหาอินไซต์ที่ทำให้เธอออกแบบงานได้ตรงโจทย์ความต้องการของผู้เข้าร่วมและเดินต่อได้ถูกทางมากยิ่งขึ้น มีเครื่องมือไปใช้กับผู้เข้าร่วมได้หลากหลายยิ่งขึ้น

Keywords: , , , , ,
  • Published Date: 12/08/2020
  • by: UNDP

โควิด-19 และสุขภาพจิต: มิติด้านสุขภาพที่เยาวชนต้องการการสนับสนุน

โควิด-19 และสุขภาพจิต: มิติด้านสุขภาพที่เยาวชนต้องการการสนับสนุน

ผลกระทบทางสุขภาพจากโควิด-19 ไม่ได้มีเพียงแค่ผลกระทบทางสุขภาพกายที่ผู้สูงอายุต้องระมัดระวังเป็นพิเศษเท่านั้น แต่ยังมีผลกระทบต่อสุขภาพจิต ซึ่งเด็กและเยาวชนถือว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงที่สุดกลุ่มหนึ่ง

การสำรวจเรื่องผลกระทบโควิด-19 ต่อเด็กและเยาวชนที่จัดทำโดยสภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย UNICEF UNDP และ UNFPA ที่มีผู้ร่วมทำแบบสอบถามกว่าหกพันรายพบว่า เด็กและเยาวชนกว่า 7 ใน 10 ได้รับผลกระทบทางสภาพจิตใจจากโควิด-19 โดยพวกเขามีความเครียด วิตกกังวลและเบื่อหน่าย โดยความกังวล 3 อันดับแรก คือ การเงินของครอบครัว การศึกษา และการติดไวรัส ตามลำดับ

ความเครียดความกังวลของพวกเขามีลักษณะเฉพาะอย่างไร ทางออกของพวกเขาอยู่ตรงไหน ร่วมสำรวจจิตใจเยาวชนไปด้วยกัน

 

เรื่องเงินเรื่องใหญ่

ปัญหาเศรษฐกิจได้ส่งผลกระทบต่อเนื่องถึงปัญหาสุขภาพจิตใจของเด็กและเยาวชน โดยเฉพาะในกลุ่มที่ผู้ปกครองมีรายได้น้อยและกลุ่มที่ต้องทำงานสนับสนุนด้านการเงินตัวเอง

เพราะเศรษฐกิจเป็นหนึ่งในปัจจัยพื้นฐาน เมื่อเศรษฐกิจมีปัญหาจึงทำให้ความกังวลในด้านอื่นๆ ตามมาด้วย เช่น ความกังวลเกี่ยวกับปากท้องในชีวิตประจำวัน โอกาสทางการศึกษา การเข้าถึงเทคโนโลยีการเรียนการสอนที่มีแนวโน้มว่าจะหันมาเป็นออนไลน์ยิ่งขึ้นทำให้เด็กกลุ่มนี้อาจเข้าไม่ถึงเท่าที่ควร ความกังวลเรื่องเศรษฐกิจยังสืบเนื่องต่อไปถึงความสามารถในการสรรหากิจกรรมทางเลือกสำหรับพัฒนาศักยภาพและค้นหาตัวตนของเด็กและเยาวชนภายใต้ข้อจำกัดด้านพื้นที่ ซึ่งอาจส่งผลต่อทักษะการเข้าสังคมและทางอารมณ์ได้อีกด้วยไม่เพียงเท่านี้ ความไม่มั่นคงทางการเงินยังอาจนำมาซึ่งการตกงานของผู้ปกครองที่แบกรับความเครียดและไม่ได้ออกไปไหน สถานการณ์ที่บังคับให้ทุกคนต้องอยู่ร่วมชายคาเดียวกันแทบตลอด 24 ชั่วโมง ทำให้ลูกมีโอกาสซึมซับรับความเครียดนั้นมาด้วยหากพ่อแม่จัดการกับความเครียดได้ไม่ดีพอ

 

อยู่แต่บ้านสร้างกังวล

หลายความเห็นสะท้อนผ่านแบบสอบถามว่าการอยู่บ้านทำให้รู้สึกเบื่อ บั่นทอน และเครียด โดยอาการเหล่านั้นมาจากหลายสาเหตุ

การใช้เวลาอยู่ในบ้านกับสมาชิกครอบครัวนานขึ้นเป็นหนึ่งในนั้น เด็กและเยาวชนบางรายรู้สึกกดดันเพราะรู้สึกถูกตรวจสอบ ถูกจ้องมองอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่สามารถแสดงออกตัวตนของตัวเองได้อย่างเต็มที่ โดยแบบสำรวจสะท้อนให้เห็นว่าร้อยละ 4 ของเยาวชนที่ตอบแบบสอบถามกังวลเรื่องเพศสภาพที่ถูกกดดันมากขึ้นเพราะไม่สามารถแสดงอัตลักษณ์ต่อหน้าครอบครัว และเข้าถึงฮอร์โมนที่ตนเองรับอย่างต่อเนื่องได้ลำบากขึ้น

ในทางตรงกันข้าม เยาวชนบางคนมีความกังวลเพิ่มขึ้นจากการที่สมาชิกในครอบครัวยังคงต้องออกไปทำงานหรือไปธุระข้างนอก เพราะกลัวว่าจะนำโควิด-19 กลับมาที่บ้านด้วย

อีกหนึ่งประเด็นหลักที่สร้างผลลบต่อสุขภาพจิตจากการอยู่บ้านเป็นเวลานานคือความเครียดจากการเสพข่าว ในช่วงโควิดระบาดหนักเนื้อหาจากสื่อในแทบทุกแพลตฟอร์มล้วนนำเสนอประเด็นเกี่ยวกับโควิด-19 โดยมีทั้งข่าวจริงและข่าวเท็จ

ลำพังการรับรู้ข้อมูลโรคระบาดอย่างต่อเนื่องก็ส่งผลต่อจิตใจได้แล้ว แต่มากไปกว่านั้นคือเยาวชนกลุ่มหนึ่งสะท้อนใกล้เคียงกันว่าได้รับข่าวหรือข้อมูลตามกรุ๊ปไลน์ที่ส่งมาจากญาติผู้ใหญ่ หลาย ๆ ครั้งเป็นข่าวปลอมที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์แต่อย่างใด

นอกจากนี้ สิ่งที่ผู้ตอบแบบสอบถามหลายคนแสดงความกังวลและตั้งคำถามคือประเด็นเรื่องความรวดเร็วและประสิทธิภาพในการจัดการ แก้ปัญหา และเยียวยาผลกระทบของรัฐบาล

 

การศึกษาที่พร่ามัว

เพราะการศึกษาคือเรื่องใหญ่ของเด็กและเยาวชน ช่วงโควิด-19 ระบาดหนักตรงกับช่วงปิดภาคเรียนพอดี แต่กว่าที่จะรู้ว่าวันเปิดเทอมและแผนการต่างๆ เกี่ยวกับการศึกษา เยาวชนหลายคนก็อดที่จะกังวลไม่ได้

บางความคิดเห็นสะท้อนว่า แม้จะอยู่บ้านก็เรียนได้ผ่านช่องทางออนไลน์ แต่แผนหลาย ๆ อย่างก็ไม่เป็นไปตามที่ได้วางไว้ โดยเฉพาะเด็กที่กำลังจะจบมัธยมและจะเข้าศึกษาต่อระดับชั้นอุดมศึกษา พวกเขากังวลว่านี่อาจนำไปสู่การเสียโอกาสในระยะยาว

ส่วนกลุ่มนักเรียนที่ใกล้จบการศึกษาในระดับชั้นมหาวิทยาลัยมีความกังวลว่าโปรแกรมการฝึกงานอาจยกเลิกในหลายที่ ซึ่งก็จะส่งผลให้พวกเขาขาดประสบการณ์การทำงานก่อนเข้าสู่ตลาดแรงงานและอาจหางานไม่ได้ในที่สุด

 

เมื่อจิตใจต้องการที่พึ่ง

ในสถานการณ์เช่นนี้สิ่งที่แต่ละคนต้องเผชิญอาจหนักหนาไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน แต่กับเยาวชนบางรายที่มีภาวะทางจิตอยู่แล้ว พวกเขากังวลเป็นพิเศษกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น บางรายสะท้อนว่าสถานการณ์เช่นนี้ทำให้พวกเขาเข้าถึงการรักษาหรือการให้คำปรึกษาจากนักวิชาชีพยากขึ้น และบางคนมีความคิดอยากฆ่าตัวตายในช่วงที่ออกไปไหนไม่ได้ด้วย

สอดคล้องกับงานวิจัยชิ้นหนึ่งในประเทศอังกฤษที่จัดทำโดย Youngminds องค์กรที่ทำงานสนับสนุนสุขภาวะทางจิตของเยาวชน งานชิ้นนี้เก็บข้อมูลในช่วงที่ทางการเริ่มผ่อนคลายมาตรการต่างๆ โดยเก็บจากเยาวชนกว่าสองพันคนที่มีภาวะสุขภาพจิตอยู่แล้ว ผลการศึกษาพบว่าในช่วงโควิด-19 คนหนุ่มสาวจำนวนมากยังคงต้องการเข้าถึงการรักษา แต่พวกเขากลับเข้าถึงได้น้อยลงหรือเข้าไม่ถึงเลย อีกทั้ง 80% ของกลุ่มเป้าหมายตอบว่าโควิด-19 ทำให้สภาพจิตใจของเขาย่ำแย่ลง

สำหรับเยาวชนไทยที่ตอบแบบสอบถามของยูนิเซฟจำนวนไม่น้อยแสดงความกังวลว่าสถานการณ์ที่เผชิญอยู่อาจพาเขาไปถึงจุดที่เป็นโรคซึมเศร้าได้หากสถานการณ์ยังไม่ดีขึ้น

นอกจากนี้เยาวชนกลุ่มตัวอย่างจำนวน 1 ใน 4 ยังตอบว่ามีความสนใจอยากเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการจัดการความเครียดและซึมเศร้าอีกด้วย

ปัญหาด้านสุขภาพจิตในเยาวชนคือเรื่องไม่เล็กและไม่ควรมองข้าม หลายประเทศทั่วโลกตระหนักถึงความสำคัญข้อนี้ดีและมีการออกข้อเรียกร้องให้รัฐบาลหามาตรการและช่องทางช่วยเหลือเยาวชนในเรื่องนี้ท่ามกลางสถานการณ์โควิด-19 อย่างรวดเร็วที่สุด

สำหรับในประเทศไทย ความพยายามให้ความช่วยเหลือสนับสนุนในเรื่องนี้มีให้เห็นอยู่บ้าง เช่น ยูนิเซฟร่วมกับมูลนิธิแพธทูเฮลท์ (Path2Health) จัดคลินิกออนไลน์ 24 ชั่วโมง ชื่อ เลิฟแคร์ สเตชั่น www.lovecarestation.com เพื่อให้คำปรึกษาแก่วัยรุ่น หรือรัฐบาลโดยกระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงศึกษาธิการได้จัดทำแอพลิเคชัน HERO เพื่อดูแลสุขภาพจิตนักเรียนช่วงเปิดเทอม หรือกรมสุขภาพจิตร่วมกับสสส.ผลิตรายการ “บ้าน-พลัง-ใจ” ทางช่อง Thai PBS เพื่อส่งเสริมความรู้ด้านสุขภาพจิต เป็นต้น ทั้งนี้การเข้าถึงและความมีประสิทธิภาพของช่องทางเหล่านี้ยังคงเป็นเรื่องที่ต้องติดตามกันต่อไป

 

อ้างอิง:
https://www.bbc.com/news/education-52721132

https://youngminds.org.uk/about-us/reports/coronavirus-impact-on-young-people-with-mental-health-needs/

https://www.dailynews.co.th/politics/782393

https://www.unicef.org/thailand/press-releases/8-10-youth-worried-about-their-family-income-due-covid-19

 

รูปภาพอ้างอิง:
https://www.freepik.com/free-photo/young-asian-woman-working-late-using-laptop-desk-living-room-home_5503828.htm#page=1&query=young%20asian%20women%20working%20late&position=39

Keywords: , , ,
Submit Project

There are many innovation platforms all over the world. What makes Thailand Social Innovation Platform unique is that we have created a Thai platform fully dedicated to the SDGs, where social innovators in Thailand can access a unique eco system of entrepreneurs, corporations, start-ups, universities, foundations, non-profits, investors, etc. This platform thus seeks to strengthen the social innovation ecosystem in Thailand in order to better be able to achieve the SDGs. Even though a lot of great work within the field of social innovation in Thailand is already happening, the area lacks a central organizing entity that can successfully engage and unify the disparate social innovation initiatives taking place in the country.

This innovation platform guides you through innovative projects in Thailand, which address the SDGs. It furthermore presents how these projects are addressing the SDGs.

Aside from mapping cutting-edge innovation in Thailand, this platform aims to help businesses, entrepreneurs, governments, students, universities, investors and others to connect with new partners, projects and markets to foster more partnerships for the SDGs and a greener and fairer world by 2030.

The ultimate goal of the platform is to create a space for people and businesses in Thailand with an interest in social innovation to visit on a regular basis whether they are looking for inspiration, new partnerships, ideas for school projects, or something else.

We are constantly on the lookout for more outstanding social innovation projects in Thailand. Please help us out and submit your own or your favorite solutions here

Read more

  • What are The Sustainable Development Goals?
  • UNDP and TSIP’s Principles Of Innovation
  • What are The Sustainable Development Goals?

Contact

United Nations Development Programme
12th Floor, United Nations Building
Rajdamnern Nok Avenue, Bangkok 10200, Thailand

Mail. info.thailand@undp.org
Tel. +66 (0)63 919 8779