- Published Date: 08/08/2019
- by: UNDP
เพราะ ‘พวกเขา’ และ ‘พวกเรา’ คือ ‘พวกเดียวกัน’
หลายคนอาจมองว่า ทุกวันนี้สงครามเกิดขึ้นน้อยลง แต่รู้หรือไม่ ช่วงระยะเวลาสิบปีที่ผ่านมา ‘ความขัดแย้ง’ ภายในกลับเพิ่มขึ้นอยู่เรื่อย ๆ ทั้งในระดับประเทศ สังคม องค์กร ไปจนถึงระดับบุคคล สร้างความสูญเสียอย่างนับไม่ถ้วน
ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2016 หลายประเทศต้องตกอยู่ท่ามกลางปัญหาความขัดแย้งรุนแรงที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในรอบ 30 ปี จำนวนผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า นั่นคือจุดสำคัญที่เหล่ามนุษยชาติต้องหันมาทำความเข้าใจความขัดแย้ง ตั้งแต่ต้นตอการเกิดขึ้น การเพิ่มขึ้นของปัญหา การเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ความต่อเนื่องของความขัดแย้ง และร่วมกันหาหนทางป้องกันความขัดแย้งอย่างยั่งยืน
‘พวกเรา’ กับ ‘พวกเขา’ เส้นแบ่งสร้างความขัดแย้ง
หลายคนอาจคิดว่า ต้องถืออาวุธ หรือใช้ความรุนแรง ถึงจะเรียกสถานการณ์นั้น ๆ ว่าความขัดแย้ง แต่ในความจริงแล้ว ความขัดแย้งเกิดขึ้นได้อย่างง่ายดาย เพียงแค่คำว่า ‘พวกเรา’ และ ‘พวกเขา’ คำจำกัดความสองคำสั้น ๆ ก็สามารถสร้างเส้นแบ่งพรรคแบ่งฝ่ายจนกลายเป็นต้นตอแห่งความขัดแย้ง
เราและเขาขัดแย้งกันด้วยอะไร ?
ชาติพันธุ์และสีผิว – คำสองคำนี้เกี่ยวข้องกันอย่างแยกไม่ได้ เพราะหลักการในการแบ่งมนุษยชาติ ได้อิงตามลักษณะธรรมชาติที่สามารถมองเห็นได้ชัด นั่นก็คือ ‘สีผิว’ จากการประชุมขององค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมของสหประชาชาติ ร่วมกับนักมานุษยวิทยากายภาพที่กรุงปารีส ในเดือนมิถุนายน ค.ศ.1951 สรุปออกมาได้ว่า กลุ่มชาติพันธุ์ของมนุษย์ในโลกสามารถแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ได้แก่ 1.จำพวกผิวขาว (Caucacoid) 2.จำพวกผิวเหลือง (Mongoloid) และ 3.จำพวกผิวดำ (Negroid) คำถามก็คือ เราควรเห็นด้วยกับข้อสรุปนี้หรือไม่?
ศาสนา – 4,200 คือตัวเลขของจำนวนศาสนาที่คนทั่วโลกเลือกนับถือและศรัทธาตามความเชื่อของตนเอง ตัวอย่างที่เห็นชัดคือ ‘สงครามครูเสด’ ความขัดแย้งระหว่างศาสนาคริสต์และอิสลามในยุโรปเพื่อแย่งชิงดินแดนเมืองเยรูซาเลม ซึ่งเกิดขึ้นถึง 8 ครั้ง กินเวลายาวนานถึง 200 ปี คร่าชีวิตผู้คนไปกว่า 7,000,000 คน และทรัพย์สินอีกมากมายมหาศาล ทุกวันนี้หลาย ๆ เหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นบนโลก ยังนำประเด็นทางศาสนามาเป็น ‘เครื่องมือ’ ในการสร้างความรุนแรงและการแบ่งแยก
ภาษา – ตามหลักเกณฑ์ขององค์การสหประชาชาติ โลกของเราถูกรวมไปด้วยกว่า 195 ประเทศ มีภาษาพูดประมาณ 6,500 ภาษา และมีอีกเกือบ 2,000 ภาษาที่กำลังจะสูญหายไป ภาษาที่ใช้พูด ใช้เขียนกันอยู่ทุกวันนี้ ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ใช้แบ่งพรรคแบ่งพวกจนลุกลามไปถึงความขัดแย้ง ในชีวิตประจำวันเราอาจมองเห็นความขัดแย้งนี้ผ่านการดูถูกสำเนียงภาษาของคนอื่น เหยียดกันเพียงเพราะพูดไม่ชัด หรือแม้แต่เหยียดกันเพียงเพราะสำเนียงไม่เหมือนกัน
นอกจากนี้ ยังมีเรื่องทัศนคติ ความเชื่อ เพศ ไปจนถีงความไม่เสมอภาคในการเข้าถึงโอกาสด้านต่าง ๆ ที่ยังนับเป็นตัวเลขไม่ได้
รู้หรือไม่? องค์การสหประชาชาติยังคาดว่าจำนวนประชากรโลกจากปัจจุบัน 7,600 ล้านคนจะพุ่งเป็น 9,800 ล้านคนในปี ค.ศ. 2050 อีกด้วย นั่นหมายถึงความหลากหลายกำลังจะมีมากยิ่งขึ้นไปอีก
แล้วโลกของเราจะอยู่ท่ามกลางความหลากหลายนี้อย่างสันติอย่างไร?
เข้าใจ ‘ความหลากหลาย’ แตกต่างแต่เหมือนกัน
สะท้อนความหลากหลายของสังคม (Diversity) คือกระแสที่เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงปีที่แล้วจนถึงปีนี้ ไม่ว่าจะเป็นเทรนด์ติดโลกอย่าง #Metoo ที่เกิดขึ้นจากการที่นักแสดงหญิงโดนโปรดิวเซอร์ใหญ่แห่งวงการฮอลลีวูดคุกคามทางเพศ หรือประเด็นการปกป้องกลุ่มบุคคลผู้มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTIQ) จากการถูกเหยียด หรือสร้างความรังเกียจ ไปจนถึงความเป็นหพุสังคมของประเทศสิงคโปร์ ที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติและวัฒนธรรมของชาวจีน อินเดีย มาเลเซีย และชนชาติอื่น ๆ เหล่านี้เกิดขึ้นเพื่อลดช่องว่างของความขัดแย้ง และเพิ่มความเข้าใจในความหลากหลายให้มากยิ่งขึ้น
ความเข้าใจความหลากหลายเริ่มต้นขึ้นได้ง่าย ๆ ด้วยคำว่า ‘รับฟัง’ ‘พูดกัน’ และ ‘ร่วมมือ’
รับฟัง – เชื่อเถอะว่าการเริ่มต้นรับฟังอย่างตั้งใจด้วยวิธีการฟังอย่างลึกซึ้ง (deep listening) จะช่วยให้เราเข้าใจผู้อื่นมากยิ่งขึ้น ซึ่งการฟังอย่างลึกซึ้ง คือ รูปแบบการฟังโดยไม่ตัดสินความถูกผิดแต่แรก ไม่ฟังเสียงแห่งการตัดสินที่ดังก้องในหัว (voice of judgement) ไม่ตอบสนองแบบทันทีทันใด (reacting) ไม่พูดแทรก และรู้จักการปล่อยผ่าน (suspending) เสียบ้าง
พูดกัน – การพูดคุยกัน หรือชักชวนคนรอบตัวมาเปิดรับหาหนทางที่ในการอยู่ร่วมกันอย่างเข้าใจ เป็นอีกสิ่งที่ทำได้ง่าย ๆ เช่นเดียวกับการฟัง เพราะหลายครั้งความขัดแย้งที่เกิดขึ้น เป็นเพราะเราคุยกันไม่มากพอ หรือผู้เกี่ยวข้องยังไม่มีความหลากหลาย ดังนั้น เราจึงควรพูดคุยกันในระดับวงกว้างและให้มีความหลากหลายมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ให้ความสำคัญกับคนทุกเชื้อชาติ วัย เพศ ไปจนถึงทุกองค์กรที่มีความเห็นต่างกันก็ตาม เพราะจะทำให้เห็นความคิดที่หลากหลาย วัฒนธรรมที่แตกต่าง
ร่วมมือ – สร้างความร่วมมือระหว่างผู้คน ชุมชน องค์กร ไปจนถึงระดับประเทศ เพื่อช่วยกันหาวิธีเข้าใจความหลากหลาย และป้องกันไม่ให้เกิดความขัดแย้งผ่านการให้ความรู้ กิจกรรม ไปจนถึงนวัตกรรมต่าง ๆ โดยเฉพาะนวัตกรรมเพื่อสังคมที่ทุกคนสามารถร่วมกันแก้ปัญหาในระดับความร่วมมือได้
กรณีศึกษา : Teeter-Totter Wall
‘ไม้กระดกสีชมพู’ เชื่อมพรมแดน สหรัฐฯ – เม็กซิโก
ย้อนกลับไปไม่กี่เดือน พรมแดนสหรัฐฯ – เม็กซิโก ถูกขีดเส้นแบ่งด้วยกำแพงตามนโยบายของทรัมป์เพื่อป้องกันคนหลบหนีเข้าเมือง ซึ่งพยายามใส่ทัศนคติผิด ๆ ว่าทุกวันมีผู้อพยพผิดกฏหมายหลายหมื่นคนเข้ามาแย่งงานคนอเมริกัน รวมถึงการขนส่งยาเสพติด การค้ามนุษย์ ไปจนถึงแก๊งอาชญากรรม สร้างภาพลักษณ์ให้ผู้อพยพระหว่างพรมแดนเม็กซิโกเป็นศัตรูทำลายความมั่นคงของชาติ กำแพงแบ่งแยกสหรัฐฯ – เม็กซิโก ทำให้เกิดประเด็นความขัดแย้งมากมายตามมา โดยเฉพาะการกีดกันเชื้อชาติในอเมริกาที่ทวีความรุนแรงขึ้นกว่าเดิม อีกทั้งยังเพิ่มความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม
แต่ความเป็นมนุษย์นั้นไม่อาจแบ่งแยกด้วยเชื้อชาติหรือกำแพงกั้น อย่างที่ศิลปิน และนักวิชาการจากหลายมหาวิทยาลัย ได้ร่วมกันสร้างโปรเจ็กต์ชื่อ ‘Teeter-Totter Wall’ หรือเครื่องเล่นไม้กระดกสีชมพูไปติดตั้งไว้บริเวณกำแพงซี่ ๆ ระหว่างพรมแดน เสมือนเป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์ของผู้คนสองพรมแดนผ่านการได้เล่นเครื่องเล่นง่าย ๆ นี้ด้วยกัน สร้างความสนุกสนาน ความอบอุ่น และเสียงหัวเราะที่ปราศจากอคติของอีกฝ่าย โดยที่มาของความหมายของไม้กระดก หมายถึง “กำแพงกลายมาเป็นชนวนในความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับเม็กซิโก ในขณะที่เด็กและผู้ใหญ่เชื่อมโยงกันด้วยวิธีที่มีความหมาย การกระทำที่เกิดขึ้นในด้านหนึ่งมีผลโดยตรงต่ออีกด้านหนึ่งเสมอ”
Youth Co:Lab
นอกจากวิธีสร้างความเข้าใจที่กล่าวไปข้างต้นแล้ว เยาวชนก็เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความเข้าใจในความหลากหลาย และช่วยกันแก้ปัญหาความขัดแย้งได้ผ่านโครงการ ‘Youth Co:Lab’ โครงการพัฒนาศักยภาพเยาวชนผ่านนวัตกรรมและการเป็นผู้ประกอบการของโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) ภายใต้ธีม ‘Embracing Diversity’ ชวนให้ทุกคนเคารพความแตกต่างและเปิดรับความหลากหลาย (respect the differences, embrace diversity)
ซึ่งโครงการนี้ จะเปิดให้เยาวชนได้มีโอกาสเข้าเวิร์กชอปเพื่อพัฒนาไอเดียของตัวเองให้เป็นจริง ได้พบปะกับผู้เชี่ยวชาญ และ innovator มากมาย พร้อมทั้งสามารถเสนอโครงการของตัวเอง (pitching) เข้าประกวด เพื่อรับเงินรางวัลไปต่อยอดความคิด รับสมัครเยาวชนตั้งแต่อายุ 18-29 ปี จับทีม 3-4 คน และสามารถร่วมส่งโครงการมาแก้ปัญหาด้วยกัน
โครงการ Youth Co:Lab 2019 กำลังจะเปิดรับสมัครแล้วในอีกไม่กี่วันนี้
ติดตามข่าวสารได้ที่ www.youthcolabthailand.org และ เฟสบุ๊กThailand Social Innovation Platform Facebook
Sources:
– สหประชาชาติและธนาคารโลก 2018 “วิถีสู่สันติ: แนวทางครอบคลุมเพื่อป้องกันความขัดแย้งรุนแรง” บทสรุปผู้บริหาร ธนาคาร วอชิงตัน ดีซี. ใบอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์ ซีซีโดย 3.0 ไอจีโอ
–https://www.worldometers.info/geography/how-many-countries-are-there-in-the-world/