• Published Date: 06/05/2021
  • by: UNDP

การนำเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) มาวัดผลกระทบมีความสำคัญต่อภาคธุรกิจอย่างไร?

เขียนโดย อภิญญา สิระนาท, Head of Exploration โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติประจำประเทศไทย

“อนาคตที่ยั่งยืนจะเกิดขึ้นไม่ได้ หากบริษัทยังคงดำเนินธุรกิจแบบเดิมๆ”

บริบททางธุรกิจมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาและยังคงจะเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องต่อไปในอีกหลายปีข้างหน้า ทั้งนี้เนื่องจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเริ่มเข้ามามีผลต่อการตัดสินใจในการดำเนินธุรกิจของบริษัทมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ผู้บริโภค พนักงาน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มมิลเลนเนียลที่เริ่มตระหนักรักษ์สิ่งแวดล้อมและมีจิตสำนึกต่อสังคมมากยิ่งขึ้น ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียไม่เพียงจะเริ่มมองว่าบริษัทควรมีพันธะความรับผิดชอบต่อสังคมในการดำเนินธุรกิจแล้ว ยังคาดหวังให้ธุรกิจเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาสังคมต่างๆ เพื่อนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs)

“เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) เป็นตัวกำหนดตลาดในอนาคต เพราะมันชี้ให้เห็นความท้าทายในปัจจุบัน ซึ่งหากภาคธุรกิจสามารถเล็งเห็นปัญหาและสร้างโซลูชั่นที่ตอบโจทย์เหล่านี้ได้ ก็จะนำไปสู่
การสร้างตลาดเทคโนโลยี การลงทุน และ โมเดลธุรกิจใหม่ๆ”
– Achim Steiner, Administrator, United Nations Development Program (2018) 

ความต้องการและค่านิยมที่แตกต่างกันของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ทำให้ผู้บริหารจำเป็นต้องเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อการเติบโตทางธุรกิจและไม่จำกัดอยู่เพียงการให้ความสำคัญกับการเพิ่มผลผลิตหรือผลตอบแทนทางการเงินในระยะสั้นเท่านั้น บริษัททั้งหลายเริ่มตระหนักว่าธุรกิจไม่สามารถประสบความสำเร็จได้ในสังคมที่ล้มเหลว ด้วยเหตุนี้บริษัทจึงต่างพยายามหาจุดสมดุลระหว่างผลตอบแทนทางเศรษฐกิจกับผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ขณะเดียวกันก็มุ่งมั่นที่จะสร้างการเติบโตทางธุรกิจอย่างยั่งยืนและเกื้อกูลในระยะยาวที่เอื้อประโยชน์ต่อทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นผู้บริโภค พนักงาน ซัพพลายเออร์ ผู้ถือหุ้น และ สังคมโดยกว้าง

การที่บริษัทให้ความสำคัญกับสังคมและสิ่งแวดล้อมมิได้หมายความว่าบริษัทจะต้องเสียผลประโยชน์ ผลกำไรทางธุรกิจเสมอไป  ในทางกลับกัน บริษัทสามารถมีผลประกอบการที่ดีได้ไปพร้อมๆ กับการสร้างประโยชน์ให้แก่สังคม ทั้งนี้งานวิจัยหลายชิ้นได้พบความสัมพันธ์เชิงบวก (positive correlation) ระหว่างผลกำไรกับความมุ่งมั่นของบริษัทในประเด็นเรื่องสิ่งแวดล้อม สังคม และ ธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG)[1] เช่น การศึกษาของนักวิจัยที่มหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ดพบว่า[2] เมื่อเทียบกันแล้ว บริษัทที่มีการวัดและประเมินด้าน ESG ตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1990 มีการเติบโตใน 18 ปีต่อมามากกว่ากลุ่มที่ไม่มี การศึกษาโดย Nordea Equity Research[3] ในปี 2017 พบว่า ตั้งแต่ปี 2012 ถึง 2015 บริษัทที่ถูกจัดอันดับ ESG สูงสุดนั้นมีการเติบโตมากกว่าบริษัทที่ถูกจัดอันดับ ESG ต่ำสุด ถึง 40%

          “การที่บริษัทจะประสบความสำเร็จในระยะยาวนั้น ไม่เพียงแต่จะต้องมีผลการประกอบการที่ดีเท่านั้น แต่ยังต้องแสดงให้เห็นว่าธุรกิจของตนช่วยให้สังคมน่าอยู่ขึ้นได้อย่างไร หากปราศจากเป้าหมายดังกล่าว
บริษัทก็ไม่สามารถบรรลุศักยภาพสูงสุดของตนได้”
– Larry Fink, CEO, Blackrock (2018)

การแพร่ระบาดของโควิด 19 (COVID-19) ยิ่งตอกย้ำบทบาทและความสำคัญของภาคเอกชนในการช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืน ภาคธุรกิจควรที่จะเรียนรู้ ปรับตัว และพลิกวิกฤตในครั้งนี้ให้กลายเป็นโอกาสที่จะยกระดับบทบาทของตนเองเพื่อเป็นแรงผลักดันในการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ในฐานะที่เป็นภาคส่วนหลักในการจ้างงานและการลงทุน ภาคธุรกิจมีบทบาทสำคัญทั้งในการคุ้มครองพนักงาน รักษาสิ่งแวดล้อม ให้ความช่วยเหลือแก่กลุ่มคนที่มีความเปราะบาง ตลอดจนช่วยให้เศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างเกื้อกูล เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และ ยั่งยืนต่อไป

ด้วยบริบททางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไปนี้ ผลกำไรเพียงอย่างเดียวไม่สามารถใช้เป็นตัวชี้วัดความสำเร็จทางธุรกิจได้อีกต่อไป ธุรกิจทั้งหลายต่างต้องเริ่มให้ความสำคัญกับการจัดทำรายงานความยั่งยืน (Sustainability Reporting) ตลอดจนการวัดและการบริหารผลกระทบ (Impact Measurement and Management – IMM) เพื่อเพิ่มศักยภาพในการประกอบธุรกิจ แสดงพันธะความรับผิดชอบต่อสังคม และ สื่อสารข้อมูลความยั่งยืนต่อสาธารณะ อย่างไรก็ดี แม้ว่าการรายงานความยั่งยืนและการวัดผลกระทบนั้นต่างช่วยเพิ่มศักยภาพและทำให้บริษัทมีความโปร่งใสยิ่งขึ้น แต่การปฏิบัติทั้งสองล้วนเกิดขึ้นในบริบทเฉพาะและมีความแตกต่างกันในแนวทางและวัตถุประสงค์

Global Reporting Initiative (GRI) ได้นิยามรายงานความยั่งยืนว่าคือ “รายงานเกี่ยวกับผลกระทบด้านเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อมและสังคมที่เกิดจากกิจกรรมของบริษัท รายงานนี้จะแสดงถึงค่านิยมและรูปแบบการกำกับดูแลกิจการขององค์กร ตลอดจนแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงระหว่างยุทธศาสตร์และความมุ่งมั่นขององค์กรในการสร้างเศรษฐกิจโลกที่ยั่งยืน” การจัดทำรายงานความยั่งยืนนั้นช่วยให้องค์กรสามารถระบุและเปิดเผยผลกระทบของธุรกิจที่มีต่อเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และสังคม ตามมาตรฐานที่ยอมรับกันทั่วโลก

ภาพจากงาน From ESG to SDGs : Integrating SDGs Impact Measurement and Management Framework in Business and Investment Strategies

ในประเทศไทยพบว่ามีบริษัทจำนวนมากมียุทธศาสตร์ นโยบาย และจริยธรรมธุรกิจที่เกี่ยวกับความยั่งยืนอีกทั้งยังมีแนวปฏิบัติการเปิดเผยข้อมูล ESG ที่ดี การปฎิบัติตามกรอบแนวทาง ESG นับเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับการทำธุรกิจที่ยั่งยืน แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะช่วยปลดล็อคขีดความสามารถอันมหาศาลของภาคเอกชนในฐานะตัวขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางสังคมได้ เพราะกรอบ ESG นั้นยังไม่ครอบคลุมถึงทุกบริบทของการพัฒนาที่ยั่งยืน  กรอบ ESG มุ่งเน้นไปที่นโยบายและกระบวนการดำเนินการของบริษัทเป็นหลัก และ ข้อมูลส่วนใหญ่ที่ใช้รายงานมักจะเป็นข้อมูลเชิงคุณภาพ ด้วยเหตุนี้ ในมุมมองของนักลงทุน การจัดทำข้อมูลตามกรอบ ESG จึงมีข้อจำกัดในการนำไปใช้ในทางปฏิบัติ เพราะไม่สามารถนำมาใช้ประเมินผลกระทบทางสังคม (Social Impact) และ เปรียบเทียบศักยภาพระหว่างบริษัทในการสร้างการเปลี่ยนแปลงทางสังคมเชิงบวกได้  การสำรวจของ McKinsey[4]  เปิดเผยว่านักลงทุนเชื่อว่า “ข้อมูลความยั่งยืนที่ถูกเปิดเผยนี้ ยังไม่พร้อมจะถูกนำมาใช้ประกอบการตัดสินใจและให้คำแนะนำการลงทุนได้อย่างถูกต้อง”

ในทางกลับกัน การเป็นธุรกิจที่สร้างผลกระทบที่ยั่งยืนนั้นหมายถึงการบูรณาการความยั่งยืนเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ทางธุรกิจ การดำเนินงาน การมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และการจัดการห่วงโซ่อุปทาน ด้วยเหตุนี้ บริษัทต่างๆจึงจำเป็นต้องมีการทำ IMM อย่างเหมาะสม เพราะการทำ IMM นั้น จะช่วยให้บริษัทสามารถสื่อสารผลกระทบสู่ภายนอก และทำให้มั่นใจว่าบริษัทกำลังดำเนินการสร้างผลกระทบให้เกิดขึ้นจริงอย่างเป็นรูปธรรม ไม่ใช่เพียงแค่การทำไปตามข้อบังคับ กฏหมายหรือข้อกำหนดต่างๆเท่านั้น

การวัดและการบริหารผลกระทบ (Impact Measurement and Management: IMM) คืออะไร ?

Global Impact Investing Network (GIIN) ได้นิยาม IMM ไว้ดังนี้  “การวัดและการบริหารผลกระทบหมายถึงการระบุและพิจารณาผลกระทบรอบด้านของธุรกิจที่มีต่อผู้คนและโลก ตลอดจน หาวิธีที่จะบรรเทาผลกระทบเชิงลบและขยายผลเชิงบวกให้มากที่สุดโดยให้สอดคล้องกับเป้าหมายของบริษัทที่ตั้งไว้”

อย่างไรก็ดี หนึ่งในความท้าทายที่ผู้ที่ทำงานด้านการวัดผลกระทบเผชิญมาเป็นเวลานานคือ การหาคำนิยาม ความหมายของคำว่า ผลกระทบ และ ทำอย่างไรเพื่อจะสร้างผลกระทบให้เกิดขึ้น การที่เราไม่สามารถตอบคำถามนี้ได้ทำให้เกิดแนวทางในการวัดผลกระทบที่หลากหลาย ทั้งจาก ผู้ที่ได้รับผลประโยชน์ (beneficiary) ธุรกิจ ไปจนถึงตัวกลางทางการเงิน (financial intermediaries) และเจ้าของเงินทุน

การใช้ SDGs เป็นกรอบอ้างอิงสำหรับการวัดและการบริหารผลกระทบ

การที่องค์การสหประชาชาติกำหนดให้ SDGs เป็นวิสัยทัศน์ของโลกสำหรับการพัฒนาที่ยั่งยืนเมื่อปี ค.ศ. 2015 นั้น ทำให้เกิดความชัดเจนในแนวทางปฏิบัติเรื่อง IMM  มากยิ่งขึ้น SDGs ไม่เพียงกำหนดขอบเขตสำหรับการตั้งเป้าหมายและติดตามความคืบหน้าของการบรรลุผลกระทบเหล่านั้น แต่ยังช่วยให้ภาคธุรกิจตั้งเป้าของตนเพื่อบรรลุผลกระทบเชิงบวกที่เป็นรูปธรรมและไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังอย่างแท้จริง ด้วยเหตุนี้บริษัทจำนวนมากทั่วโลกจึงเริ่มหันมาใช้ SDGs เป็นกรอบในการวัดผลกระทบของธุรกิจตน

          “ธุรกิจมีบทบาทสำคัญในการนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน บริษัทสามารถมีส่วนร่วมในการพัฒนาผ่านการดำเนินกิจกรรมหลักของตน และเราขอให้บริษัททุกแห่งเริ่มประเมินผลกระทบ
ตั้งเป้าหมายให้สูง และสื่อสารผลการทำงานอย่างโปร่งใส”
– Ban Ki-moon, Former United Nations Secretary-General (2015)

ผลกระทบในบริบทของ SDGs กำลังกลายเป็นองค์ประกอบสำคัญในการตัดสินใจทางธุรกิจไปพร้อมๆ กับปัจจัยอื่นๆ อย่างรายได้และความเสี่ยง เฉกเช่นกับการที่รายงานทางการเงินมีความสำคัญและจำเป็นต่อประกอบการตัดสินใจทางธุรกิจของบริษัท  การวัดและการบริหารผลกระทบด้าน SDGs (SDGs IMM) นั้นก็เริ่มมีความสำคัญมากขึ้นต่อบริษัท เนื่องจากไม่เพียงแต่บรรดาผู้ถือหุ้น แต่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหลายก็เริ่มเรียกร้องให้ภาคธุรกิจแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมมากกว่าที่เคยเป็นในอดีต

นอกจากธุรกิจต้องใส่ใจต่อการเรียกร้องของสังคมเพื่อเพิ่มความโปร่งใสและเเสดงความรับผิดชอบแล้ว การคำนึงถึงผลประโยชน์ของสังคมไปพร้อมๆ กับกำไร และ การนำ SDGs IMM มาปรับใช้ในการดำเนินธุรกิจนั้นสามารถสร้างประโยชน์ให้กับบริษัทหลายประการ ดังนี้

  • การสร้างโอกาสใหม่ๆทางธุรกิจ: IMM ช่วยให้ธุรกิจสามารถระบุตลาดใหม่ๆ และ เข้าใจความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาและปรับแต่งผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น หลังจากที่ธุรกิจเพื่อสังคม Hilltribe Organics ได้มีการนำ IMM มาปรับใช้โดยได้รับคำปรึกษาจาก UNDP Business Call to Action ทำให้สามารถระบุได้ว่าตลาดยังมีความต้องการไข่อินทรีย์อยู่พอสมควรจึงเริ่มหันมาสนใจและเปิดตลาดขายไข่อินทรีย์ด้วย ณ วันนี้ Hilltribe Organics[5] กลายเป็นบริษัทไข่อินทรีย์อับดับต้นๆ ของประเทศไทย และ ปัจจุบันมีช่องทางขายทั้งในซุปเปอร์มาร์เกตรายใหญ่ ร้านอาหารและโรงแรมทั่วประเทศ ปัจจุบันบริษัทกำลังอยู่ในช่วงจะต่อยอดโมเดลธุรกิจเกื้อกูล (inclusive business model) โดยเพิ่มการผนวกกลุ่มชนพื้นเมืองทั่วประเทศเข้าในห่วงโซ่แห่งคุณค่าทางการเกษตร (agricultural value chain) ซึ่งนอกจากจะนำไปสู่การสร้างแหล่งรายได้ใหม่ ๆ ให้แก่บริษัทแล้วยังเป็นการเพิ่มจ้างงานในอุตสาหกรรมอาหารอีกด้วย
  • การตลาดและช่วยสร้างภาพลักษณ์ชื่อเสียงที่ดีให้กับองค์กร: ข้อมูลผลกระทบ (Impact data) ช่วยให้ธุรกิจเข้าใจลูกค้า สามารถสร้างแคมเปญทางการตลาดที่มีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังช่วยให้ลูกค้ามีความสนใจในตัวบริษัทมากขึ้นอีกด้วย บริษัทสื่อโฆษณารายใหญ่ที่สุดในประเทศไทยอย่าง Plan B Media เป็นตัวอย่างธุรกิจที่ดีที่มีความมุ่งมั่นจะใช้กลยุทธ์การตลาดที่ยั่งยืน และสร้างคุณค่าให้ธุรกิจของตนโดยตอบสนองต่อความคาดหวังของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย การที่ Plan B ตระหนักว่าสื่อดิจิตัลจะต้องเป็นมากกว่าเพียงแค่การให้บริการโฆษณาแต่ควรมีเนื้อหาที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะด้วยนั้น Plan B จึงร่วมมือกับ UNDP จัดทำแคมเปญต่างๆ เพื่อสร้างความตระหนักเกี่ยวกับ SDGs ในประเทศไทย ทั้งในเรื่อง การรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อสตรีและหยุดการใช้พลาสติกครั้งเดียว (single-use plastics)[6] เป็นต้น
  • ช่วยจัดวางกลยุทธ์และลดความเสี่ยง: IMM นอกจากจะทำให้มั่นใจว่ากิจกรรมต่างๆของบริษัทนั้นสอดคล้องกับเป้าหมายและยุทธศาสตร์ขององค์กรแล้ว ยังช่วยระบุความเสี่ยงต่่างๆได้ตั้งเเต่เริ่มเเรก จึงเป็นการเปิดโอกาสให้ธุรกิจสามารถดำเนินการแก้ไขและป้องกันการสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นตามมาได้ทันท่วงที

Business Call to Action’s Impact Lab[7]
เครื่องมือสำหรับการวัดและการบริหารผลกระทบเบื้องต้น

บริษัทที่ไม่เคยทำ IMM มาก่อน อาจจะรู้สึกว่า IMM เป็นสิ่งท้าทาย และไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มต้นอย่างไร ในขณะเดียวกัน UNDP Business Call to Action ได้ตระหนักถึงประโยชน์ต่างๆ ของ IMM จึงพัฒนา Impact Lab ซึ่งเป็นออนไลน์เเพลตฟอร์มขึ้นเพื่อสนับสนุนบริษัทต่างๆ ในการทำ SDGs IMM ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตัว Impact Lab นั้น ประกอบด้วย 4 โมดูลหลักซึ่งครอบคลุมทั้งกระบวนการบริหารผลกระทบ ตั้งแต่ การประเมินความพร้อมในการวัดผล การวางแผนสำหรับการวัดผลและการออกแบบกรอบผลกระทบ การตรวจสอบข้อมูลผลกระทบ (impact data) และ การวิเคราะห์และรายงานข้อมูลผลกระทบ (impact data) เมื่อบริษัทได้ทำครบทุกขั้นตอนแล้ว นอกจากจะสามารถเข้าใจถึง Impact Value Chain ที่เชื่อมการดำเนินการของธุรกิจตนเข้ากับ SDGs ได้เเล้ว ยังสามารถออกแบบกรอบผลกระทบ SDGs ของตนเอง พร้อมด้วยแผนในการเก็บรวบรวมข้อมูลที่จะช่วยในการวัด บริหาร และ สื่อสารผลกระทบได้

เกี่ยวกับ โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ

โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (United Nations Development Programme: UNDP) เป็นเครือข่ายการพัฒนาระดับโลกขององค์การสหประชาชาติ UNDP ทำงานร่วมกับกว่า 170 ประเทศทั่วโลก ในการช่วยขจัดความยากจน ลดความไม่เท่าเทียมและการกีดกัน UNDP มีประสบการณ์ทำงานกับภาคเอกชนในการผลักดันเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนมายาวนานโดยองค์กรได้ทำงานร่วมกับบริษัททั่วโลกจากหลายอุตสาหกรรมทั้ง ภาคพลังงาน อาหาร การเกษตร เครื่องอุปโภคบริโภค การเงิน และ เทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นต้น

ในประเทศไทย UNDP ทำงานร่วมกับภาคเอกชนในรูปแบบต่างๆ ดังนี้

  • เป็นตัวเชื่อมระหว่างภาครัฐ เอกชน และประชาสังคมเกี่ยวกับประเด็นด้านการพัฒนาต่างๆ
  • ช่วยธุรกิจมองหาโอกาสในการทำผลิตภัณฑ์ สินค้า เเละ บริการต่างๆที่ตอบโจทย์ความท้าทายด้านการพัฒนา รวมถึงให้คำแนะนำในการประกอบธุรกิจเกื้อกูลสังคม (Inclusive Business) ที่นำกลุ่มคนรายได้น้อยเข้ามาอยู่ในห่วงโซ่คุณค่า (value chain) เพื่อมาเป็นผู้ผลิต ซัพพลายเออร์ พนักงาน และ ผู้บริโภค
  • ระดมทรัพยากรทุนและสิ่งของจากภาคเอกชนเพื่อนำมาใช้แก้ปัญหาการพัฒนาอย่างยั่งยืน
  • ใช้นวัตกรรมทางการเงินและสร้างเครือข่ายเพื่อระดมทุนจากภาคเอกชนสำหรับการดำเนินงานด้าน SDGs
  • ให้ความรู้และออกแบบเครื่องมือต่างๆในด้านการวัดและบริหารผลกระทบแก่บริษัท และ นักลงทุนต่างๆที่สนใจ

บริษัทที่สนใจทำงานร่วมกับ UNDP เพื่อขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนในประเทศไทย สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่: นางสาวอภิญญา สิระนาท ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนเพื่อสังคม, E-mail: aphinya.siranart@undp.org

[1] Mozaffar Khan, George Serafeim, Aaron Yoon, Corporate Sustainability: First Evidence on Materiality. The Accounting Review (2016) 91 (6): 1697–1724.

[2] Eccles, Robert G. and Ioannou, Ioannis and Serafeim, George, The Impact of Corporate Sustainability on Organizational Processes and Performance (December 23, 2014). Management Science, Volume 60, Issue 11, pp. 2835-2857, February 2014. Available at SSRN: https://ssrn.com/abstract=1964011 or http://dx.doi.org/10.2139/ssrn.1964011

[3] https://nordeamarkets.com/wp-content/uploads/2017/09/Strategy-and-quant_executive-summary_050917.pdf

[4] https://www.mckinsey.com/business-functions/sustainability/our-insights/more-than-values-the-value-based-sustainability-reporting-that-investors-want

[5] https://www.businesscalltoaction.org/member/urmatt-ltd-hilltribe-organics

[6]https://www.th.undp.org/content/thailand/en/home/presscenter/pressreleases/2019/undp-unveils-nationwide-campaign-to-combat-single-use-plastics–.html

[7] https://www.businesscalltoaction.org/

Keywords: , , , , ,
  • Published Date: 22/02/2021
  • by: UNDP

Youth Co:Lab story: HINT เปลี่ยนทุกข้อสงสัยของนักเรียนให้เป็นความเข้าใจ

การเรียนการสอนในห้องเรียนเป็นไปได้ยากที่จะเข้าใจแจ่มแจ้งแบบไร้ข้อสงสัย ครั้นจะยกมือถามกลางห้องบรรยากาศก็ไม่ได้เอื้ออำนวยเสมอไป หลายคนจึงต้องพึ่งตัวช่วยนอกห้องเรียนไม่ว่าจะเป็นถามเพื่อนคนอื่นๆ เรียนพิเศษ หรือปรึกษาผู้ปกครอง แต่ใช่ว่าทุกคนจะมีตัวช่วยเหล่านี้ ยิ่งเจอสถานการณ์โควิด-19 เข้าไป ความช่วยเหลือที่มีอย่างจำกัดกลับถูกตัดให้ลดน้อยลงไปอีก ปัญหานี้กลายมาเป็นโจทย์หลักที่ทีม HINT เลือกนำไปพัฒนาต่อ 

“สมัยก่อนมันไม่มีอะไรถามได้แบบฟรีๆ เลย อย่างมากก็ถามกูเกิ้ล มันอาจได้คำตอบไม่ตรง กว่าจะเจอก็หานาน ส่วนถ้าถามเพื่อนกว่าจะตอบ แล้วก็ต้องมีเพื่อนที่เก่งถึงจะช่วยได้แค่นี้ก็ไม่เท่าเทียมแล้ว ยิ่งโรงเรียนที่ไม่ได้มีการศึกษาดีพอ มันก็ไม่ได้ช่วยกันได้ขนาดนั้น” ปาล์ม-ณภัทร พันธ์ประสิทธิกิจ หนึ่งในผู้ก่อตั้งนึกย้อนกลับไปสมัยที่ตัวเองยังเรียนอยู่

ทีม HINT เป็นการรวมตัวของเพื่อน 3 คน ประกอบด้วย บุ๊ค-บุณยวัส ศรีสมพงษ์ บอส-ธเนศ ศรีอมร และปาล์มที่พบและแลกเปลี่ยนความสนใจกันที่ฝึกงาน 

คอนเซ็ปต์พื้นฐานของ HINT ไม่มีอะไรซับซ้อนไปกว่าการให้นักเรียนทิ้งคำถามไว้ ส่วน Helper หรือผู้ตอบจะเข้ามาช่วยคลายข้อสงสัยต่างๆ เอง

 

ก่อร่างสร้างงาน

จากไอเดียบนหน้ากระดาษ ทีม HINT ได้รับคัดเลือกเข้าร่วมเวิร์คช็อป Youth Co:Lab กว่าสองเดือน ตลอดเวิร์คช็อปทางทีมได้กลับไปวิเคราะห์ทบทวนตั้งแต่ปัญหาที่ต้องการแก้ วิธีการที่ใช้ในการแก้ปัญหา โมเดลทางธุรกิจ และผลกระทบทางสังคมที่สร้างได้ บุ๊คเล่าว่าหลังจากเข้าเวิร์คช็อปสิ่งที่เปลี่ยนไปมากที่สุดคือโมเดลทางธุรกิจ

แผนล่าสุด HINT ออกแบบมาให้ใช้บริการได้ฟรีแบบมีโฆษณา ค่าโฆษณาเป็นหนึ่งในรายได้ของ HINT และอีกหนึ่งวิธีคือ Subscription Model หากนักเรียนคนไหนต้องการใช้งานแบบปลอดโฆษณา ได้รับคำตอบที่รวดเร็ว และเลือกผู้ตอบได้ การจ่ายค่าสมาชิกก็จะตอบโจทย์ยิ่งขึ้น

สำหรับ Helper สิ่งที่ดึงดูดใจให้เข้ามาช่วยตอบคำถามคือเงินรางวัล

“ถ้าคำถามที่ Helper ตอบตอบได้ดี นักเรียนหรือผู้ถามก็จะให้เหรียญเพื่อแสดงความพึงพอใจ พอจบเดือนเราก็จะเอารายได้ทั้งหมดมาแบ่งสัดส่วนแล้วแบ่งกลับไปให้ Helper ตามจำนวนเหรียญที่ได้รับ” ปาล์มอธิบายต่อว่าแอพลิเคชันเวอร์ชั่นสมบูรณ์จะเปิดคำตอบให้นักเรียนคนอื่นได้เห็นด้วย หากคำตอบถูกใจนักเรียนคนอื่นก็กดไลค์ได้ ส่วน Helper คนไหนมียอดไลค์เยอะก็จะได้รายได้พิเศษด้วย

นอกจากโมเดลธุรกิจที่พัฒนามาไกล บอสแบ่งปันว่าความประทับใจระหว่างการเข้าร่วมเวิร์คช็อปคือการได้แลกเปลี่ยนมุมมองและเข้าใจจากเพื่อนต่างภูมิหลัง ส่วนบุ๊คสนุกกับกระบวนการเวิร์คช็อปที่ออกแบบมาเป็นอย่างดี แต่ละช่วงเชื่อต่อกันและมีเป้าหมายชัดเจน

ทดลองวิชา

เพื่อให้ใช้ฟังก์ชั่นต่างๆ ได้ครอบคลุมที่สุด HINT ตั้งใจจะทำออกมาในรูปแบบแอพลิเคชัน แต่ด้วยข้อจำกัดด้านงบประมาณและระยะเวลา หลังจากที่ HINT พัฒนาและนำเสนอโครงการจนได้รับคัดเลือกเข้ามาเป็น 1 ใน 5 ทีมสุดท้าย LINE OA จึงเป็นช่องทางในการทำโปรโตไทป์ทดลองตลาดโดยให้ติวเตอร์หรืออาสาสมัครผู้ตอบทำหน้าที่เป็นแอดมิน ส่วนผู้ถามเป็นคนแอด Line OA เพื่อฝากคำถามคาใจหรือโจทย์การบ้านที่แก้ไม่ได้ทิ้งไว้ มาถึงตอนนี้ HINT เปิดทดลองใช้งานใน 3 รายวิชา ได้แก่ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และภาษาอังกฤษ

“เราเริ่มโพสต์วันแรกวันเดียวคนเข้ามาห้าหกสิบราย พอครบเดือนหนึ่งมีพันราย และครบสองพันรายประมาณภายในยี่สิบวัน ตอนนี้ทำมาสองเดือนกว่าใกล้จะครบสามพัน อัตราคนเข้ามาเร็วขึ้นเรื่อยๆ” ปาล์มผู้มีหน้าที่หลักในการประชาสัมพันธ์และดูแลการตลาดให้คนเข้ามาในแพลตฟอร์มอธิบายว่า HINT พยายามเข้าถึงผู้ใช้ในหลากหลายช่องทาง ทั้งเฟซบุ๊ก อินสตาแกรม ไลน์กลุ่ม และไลน์ Openchat ทั้งนี้เขายังคงมองหาอาสาเพิ่มเติมที่จะเข้ามาช่วยตอบคำถามและทดลองใช้งานเพื่อทำให้แพลตฟอร์มนี้สมบูรณ์ที่สุด

หลังจากการเปิดตัวในช่วงแรกที่นักเรียนยังเข้ามาถามไม่เยอะจึงเกิดการแย่งกันตอบ HINT จึงพยายามเซ็ตระบบขึ้นมา บอสผู้ดูแลดาต้าอธิบายว่าทุกครั้งที่จะรับดูแลการตอบคำถามให้พิมพ์ว่า “สวัสดีพี่มาแล้วจ้า” และทุกครั้งที่สอนเสร็จก็ให้ติวเตอร์กดส่งแบบประเมินกลับไปให้นักเรียน

“กลไกที่เซ็ตขึ้นมานี้นอกจากจะช่วยลดความสับสนในการแย่งกันตอบแล้ว มันยังใช้นับว่าแต่ละวันมีคำถามเข้ามากี่ข้อ มีคนตอบกี่ข้อ กี่คน และมีกี่คำถามที่ยังไม่ถูกแก้ จากนั้นเราก็จะส่งข้อมูลตรงนี้ให้บุ๊คขึ้นเว็บสำหรับให้ติวเตอร์เช็คคะแนนสถิติของตัวเอง” ที่ผ่านมาผู้ถามมีความพึงพอใจจากคำตอบที่ได้รับถึงราว 88% และการเก็บฟีดแบ็กเช่นนี้ยังมีความจำเป็นอย่างยิ่งในการพัฒนา HINT เวอร์ชั่นถัดๆ ไป

ความถูกต้องคือสิ่งสำคัญ

เมื่อ HINT เกิดมาเพื่อช่วยไขข้อสงสัยทางวิชาการเป็นหลัก ความถูกต้องจึงคืออีกสิ่งที่พลาดไม่ได้

วิธีการตรวจสอบความถูกต้องในช่วงทดลองนี้ทำผ่านการให้คนในชุมชนช่วยกันตรวจสอบกันเอง มีการกำหนดกฎขึ้นมาว่าหากอาสารายอื่นพบเจอการตอบผิดให้ส่งเรื่องมา งานจัดการก็ไม่น้อย งานพัฒนาก็เยอะ HINT จึงตัดสินใจชวนมิว-ชณิศรา ชมชื่น เข้ามาสมทบทีมเพื่อดูแลการจัดการหลังบ้านโดยเฉพาะ บทบาทหน้าที่ของมิวมีทั้งช่วยตักเตือนสมาชิกที่ไม่ได้ทำตามกฎ ไปจนถึงรับการแจ้งเกี่ยวกับความถูกต้องของการตอบ

“พอเห็นคนอื่นตอบผิดเขาก็เข้ามารีพอร์ตกัน แต่เราไปดูได้ไม่ครบว่าทำผิดยังไง ตอนหลังเลยเพิ่มกฎมาว่าต้องอธิบายพร้อมบอกคำตอบที่ถูกต้องด้วย” มิวอธิบายขั้นตอนการทำงาน “บางครั้งเราได้รับรีพอร์ตเป็นติวเตอร์คนเดิมๆ ซ้ำๆ เราเลยต้องมีฟอร์แมตบันทึกข้อมูลไว้ด้วยเพื่อป้องกันการตักเตือนซ้ำ”

ผลลัพธ์ที่เกิดคาด

นอกจาก HINT จะช่วยคลายข้อสงสัยเฉพาะหน้า ทำให้เด็กหลายๆ คนมีการบ้านที่เสร็จสมบูรณ์พร้อมส่งครูแล้ว HINT ยังช่วยสร้างความเข้าใจในบทเรียนด้วย 

“มีคนสอนที่ให้น้องเล่าก่อนว่าเขาคิดยังไงกับโจทย์นี้ก่อนที่จะเฉลย เหมือนให้เด็กได้ทบทวนตัวเองก่อนและมีอาสาอีกคนที่อัดคลิปเป็นสอบคลิปเพื่ออธิบายสิ่งที่เด็กถามเป็นสิบคลิป สปิริตเขาสุดยอดมาก” บุ๊คเล่า “ส่วนฝั่งเด็ก ก็มีน้องถามว่าพี่จะทำ Line OA ตลอดไปไหม จะได้ไม่ห่วงเรื่องการบ้าน เราได้ยินแล้วน้ำตาจะไหล”

โจทย์ใหม่ที่เจอ

HINT ยังคงพัฒนาผลิตภัณฑ์และเก็บข้อเสนอจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่างๆ อย่างต่อเนื่อง หลังจากนำ HINT ไปคุยกับคุณครูในโรงเรียน หนึ่งในฟีดแบกที่ได้คือ “HINT อาจเป็นดาบสองคมเพราะเด็กไม่ต้องทำการบ้านเอง” ทางทีมจึงนำโจทย์นี้ไปพัฒนาต่อ

“เพราะอยากให้เกิดกระบวนการเรียนรู้มากที่สุด เราจึงไปคิดฟีเจอร์ใหม่เพิ่มมา แทนที่ Helper จะให้คำตอบเลยทันที หลังจากที่อธิบายพูดคุยกันไปสักพักหนึ่งก่อนที่จะเข้าสู่การเฉลยคำตอบ จะมีปุ่มให้ติวเตอร์ส่งคำถามไปหาเด็กเพื่อทดสอบความเข้าใจ” บอสอธิบายว่าฟีเจอร์ใหม่นี้ถอดมาจากโปรโตไทป์ที่กำลังทำอยู่ “ติวเตอร์ชอบถามว่า ที่อธิบายยาวๆ นี่เข้าใจไหม ร้อยละ 70 จะบอกว่าเข้าใจแล้ว แต่เราไม่รู้เลยว่าเขาเข้าใจจริงหรือเปล่า ฟีเจอร์ตรงนี้จะช่วยทดสอบความเข้าใจได้และติวเตอร์จะได้รู้ว่าต้องสอนอะไรเพิ่ม”

“ฟีเจอร์เช็คความเข้าใจนี้จะเป็นแบบมีตัวเลือก ต่อให้เลือกผิดก็ยังคงได้คำตอบอยู่ดี แต่หากตอบถูกบ่อยๆ ก็จะมีรางวัลให้คนตอบ เช่น ทำให้เจอติวเตอร์ได้เร็วขึ้น หรือเลือกติวเตอร์คนที่อยากเจอได้” ปาล์มเสริม

ขยายฐาน

เรื่องการเข้าถึงผู้ใช้ในวงกว้างเป็นสิ่งที่ HINT ตระหนักดีตั้งแต่ต้นว่าอยากทำให้ครอบคลุมที่สุด 

สำหรับนักเรียนเก่งที่อาจไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือ HINT มองว่าพวกเขาอาจเข้ามาในฐานะ Helper ได้เช่นกัน โดยในช่วงทดลองนี้ HINT ได้เปิด Line Openchat ขึ้นมาเพื่อให้เพื่อนนักเรียนช่วยตอบกันเองด้วย เหมือนช่วยติวเพื่อนๆ ไปในตัว ภายในระยะเวลา 1 เดือนมีผู้ใช้ Line Openchat ราว 600 คน

ส่วนอีกกลุ่มที่ HINT ยังเข้าไม่ถึงในจุดนี้คือกลุ่มที่อาจไม่ได้มีโทรศัพท์และเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ตลอด

“กลุ่มนี้เราต้องใช้เวลาสักพักในการเก็บดาต้าให้รู้ว่านักเรียนส่วนใหญ่ติดปัญหาเรื่องไหน แล้วค่อยหาวิธีทำงานร่วมกับโรงเรียนและหน่วยงานการศึกษาเพื่อแก้ไขในระดับระบบหลักสูตรต่อไป” ปาล์มอธิบาย

มากกว่าถาม-ตอบ

แม้สโคปงานที่ HINT ทำจะอยู่ที่การสร้างความเข้าใจและถามตอบในประเด็นที่เด็กๆ สงสัยในบทเรียน แต่จากการคลุกคลี เก็บและวิเคราะห์ข้อมูลเรื่อยมาทำให้ทีมเห็นภาพใหญ่ของการศึกษาในปัจจุบัน

“เราพบว่านักเรียนค่อนข้างซีเรียสเรื่องวิชาการมากๆ เด็กมัธยมต้นก็เอาโจทย์มัธยมปลายมาทำ” ปาล์มอธิบาย

“มันเลยน่าเป็นห่วงว่าเด็กอาจโฟกัสที่วิชาการมากเกินไปจนไม่มีเวลาใช้ชีวิต ไม่มีเวลาสนใจเรื่องรอบตัว” บุ๊คเสริม ทั้งนี้พบว่านักเรียนกว่า 70% มีความใฝ่ฝันอยากเป็นหมอซึ่งไม่ต่างอะไรจากหลายสิบปีก่อน

ทั้งที่ในปัจจุบันมีอาชีพใหม่ๆ ที่ขยายกว้างมากขึ้น

การเห็นข้อมูลเหล่านี้ทำให้ทาง HINT มีแผนในระยะยาวที่อยากช่วยไขข้อข้องใจในทุกๆ มิติของการเรียนรู้และการใช้ชีวิตให้มากขึ้น

“เรามอง HINT เป็นช่องทาง ในอนาคตเราอาจเชิญผู้เชี่ยวชาญแต่ละสาขาเข้ามาด้วยเพื่อให้แบ่งปันประสบการณ์การทำงานในสาขานั้นๆ  รวมถึงอาจต่อยอดเป็น HINT for Mind, HINT for Health เพื่อออกแบบแพลตฟอร์มให้ตอบโจทย์ชีวิตนักเรียนให้รอบด้านมากขึ้นด้วย” ปาล์มสรุป

Keywords: , , ,
  • Published Date: 16/07/2020
  • by: UNDP

มารู้จัก 4 นวัตกรรมเพื่อสังคมในช่วงโควิด

โควิด-19 ได้สร้างผลกระทบในแทบทุกมิติและนับเป็นวิกฤตที่รุนแรงที่สุดอันหนึ่งในชั่วชีวิตสำหรับใครหลายคน อีกทั้งยังเป็นเหตุการณ์ที่มีหลายอย่างให้มนุษย์ต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอดปลอดภัย

นวัตกรรมทางสังคมหลายอย่างจึงได้ถูกสร้างและพัฒนาขึ้นในช่วงนี้ โดยมีตั้งแต่ระดับง่าย ๆ อย่างการผลิตฉากกั้นใช้สำหรับกิจกรรมที่คนจำนวนมากอาจจำเป็นต้องอยู่ใกล้ชิดกัน การให้ข้อมูลข่าวสารเรื่องการป้องกันและดูแลตัวเอง ไปจนถึงนวัตกรรมล้ำ ๆ ที่มีเทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้อง หลายอย่างใช้งานได้จริง บางอย่างที่ไม่ตอบโจทย์ก็เริ่มหายไปพร้อมกับสถานการณ์ที่ยังคงดำเนินต่อไป

นวัตกรรมทางสังคมหลายอย่างเริ่มจากการมองปัญหาที่เกิดขึ้นและคิดหาทางออก บ้างก็ต่อยอดจากต้นทุนธุรกิจหรือความรู้เดิมที่แต่ละคนมีอยู่ บางอันทำเป็นการกุศล และอีกหลายอันต่อยอดทำเป็นธุรกิจได้จริง

บทความนี้จะพาไปรู้จักนวัตกรรมจากทั่วโลกที่ครอบคลุมหลายประเด็นเกี่ยวเนื่องกับโควิด-19

 

  1. Crisis Text Line-ส่งข้อความยามมีเรื่องทุกข์ใจ

การสื่อสารผ่านข้อความคือวิธีการสื่อสารที่ได้รับความนิยมในหลายประเทศทางยุโรปและอเมริกาเหนือ  นอกจากจะเป็นเพราะค่าบริการส่งข้อความค่อนข้างถูกแล้ว ลักษณะเด่นของการส่งข้อความอย่างความไร้เสียง สื่อสารได้แม้สถานการณ์จะไม่เอื้ออำนวยยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ Crisis Text Line เห็นโอกาสในการให้บริการนี้

Crisis Text Line ตั้งใจจะเป็นช่องทางให้ผู้ที่มีปัญหากังวลใจ โดยเฉพาะวัยรุ่นหรือผู้ใหญ่ตอนต้นส่งข้อความมาถามไถ่พูดคุย โดยหวังว่าเมื่อบทสนทนาจบผู้ที่ตัดสินใจใช้บริการจะรู้สึกผ่อนคลายลงได้

แม้ว่าบริการนี้จะเปิดตัวตั้งแต่ปี 2013 แต่ในช่วง Covid-19 นี้ Crisis Text Line ได้รับข้อความมากขึ้นถึง 40% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาปกติ ปัญหาที่คนส่วนใหญ่พิมพ์เข้ามามีตั้งแต่ความเหงา ความกังวล ความเครียด ไปจนถึงความคิดที่จะฆ่าตัวตาย

ท่ามกลางข้อความที่อาจเข้ามาพร้อมกันหลายร้อยข้อความ Crisis Text Line ใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการสกรีนและจัดความสำคัญในการส่งข้อความกลับและพูดคุย เช่น หากมีข้อความที่ส่งมาเกี่ยวกับกินยานอนหลับหลายเม็ดอาจเป็นไปได้ว่าเขาคิดฆ่าตัวตาย ข้อความลักษณะนี้จะจัดอยู่ในกลุ่มที่ต้องการการตอบกลับอย่างรวดเร็ว ส่วนข้อความที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์หรือความรู้สึกเหงาก็จะจัดอยู่ในกลุ่มที่มีความรีบเร่งน้อยกว่า

ผู้ที่รับหน้าที่เป็นที่ปรึกษาตอบข้อความล้วนแต่เป็นอาสาสมัครที่ผ่านการอบรมออนไลน์ในหลากหลายทักษะ เช่น การฟัง การแก้ปัญหา ทั้งนี้มีเพียง 30% ของผู้ที่เข้ารับการอบรมเท่านั้นที่ได้ทำงานจริง เพราะเรื่องนี้มีความละเอียดอ่อนสูงมาก ในขณะเดียวกันอาสาสมัครเหล่านี้ก็มีนักจิตวิทยามืออาชีพและนักสังคมสงเคราะห์เป็นผู้สนับสนุนและช่วยเหลืออีกต่อหนึ่ง

Crisis Text Line เปิดเผยว่าข้อความที่ได้รับในช่วง โควิด-19 มีประเด็นที่แตกต่างออกไปในแต่ละช่วงเวลา ในช่วงแรกคนส่วนใหญ่มีความกังวลเกี่ยวกับตนเองหรือครอบครัวจะติดเชื้อ ถัดมาเป็นความกังวลจากการล็อกดาวน์และการรักษาระยะห่างทางกายภาพ ซึ่งทาง Crisis Text Line คาดว่าปัญหาถัดมาจะเป็นเรื่องความไม่เท่าเทียม (ในสหรัฐอเมริกา) เนื่องจากสัดส่วนของผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ที่เป็นคนผิวดำนั้นสูงกว่า อีกทั้งยังเริ่มได้รับข้อความจากชาวแอฟริกันอเมริกันที่แสดงถึงความเศร้าโศกเสียใจมากขึ้นเรื่อยๆ

จากการเติบโตอย่างก้าวกระโดดในระยะเวลาไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้ Crisis Text Line มีแผนที่จะขยายการให้บริการในภาษาสเปน โปรตุเกส ฝรั่งเศสและอาราบิกภายในปี 2022 จากที่เดิมให้บริการเพียงภาษาอังกฤษเท่านั้น ซึ่งประชากรที่ใช้ภาษาเหล่านี้คิดเป็น 1 ใน 3 ของประชากรทั้งโลก

 

  1. Bike2Box – ไปทำงานอย่างไร้กังวลทั้งเรื่องโควิดและเรื่องที่จอด

Bike2Box เป็นบริษัทสัญชาติโปแลนด์ที่ผลิตที่จอดจักรยานหลากหลายรูปแบบ บริษัทนี้ก่อตั้งโดยผู้รักการปั่นจักรยานโดยมีเป้าหมายที่ไกลกว่าแค่การทำธุรกิจ แต่คือการร่วมสร้างวัฒนธรรมจักรยานให้เกิดขึ้นอย่างยั่งยืน ส่วนเหตุผลที่พวกเขาหันมาทำธุรกิจด้านนี้ก็เพราะใส่ใจประเด็นสิ่งแวดล้อมกับจักรยานเป็นหลัก

พอโควิด-19 มาเยือน ต่อเนื่องถึงปัจจุบันที่ที่ทำงานหลายแห่งเริ่มกลับเข้าออฟฟิศกันเป็นปกติ ทาง Bike2Box จึงเห็นโอกาสในการต่อยอดผลิตภัณฑ์ของตนเองโดยทำที่จอดจักรยานที่ติดตั้งสะดวก รวดเร็ว เคลื่อนย้ายได้และมีเงื่อนไขการใช้บริการที่ไม่ซับซ้อนวุ่นวาย โดยอุปกรณ์ 1 เซ็ตมีขนาดเท่ากับที่จอดรถยนต์ 1 คัน และรองรับจักรยานได้ถึง 12 คัน ทั้งนี้ Bike2Box มองออฟฟิศเป็นกลุ่มเป้าหมายหลัก

ไอเดียนี้ต่อยอดมาจากการที่คนยังรักษาระยะห่างทางกายภาพอยู่ ทำให้คนที่พอจะมีทางเลือกเลี่ยงการใช้ขนส่งสาธารณะ และจักรยานก็กลายเป็นหนึ่งในยานพาหนะที่ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้น สอดคล้องกับช่วงที่ผ่านมาถนนเงียบบางประเทศก็ปรับสภาพถนนให้เป็นเลนจักรยานชั่วคราว

นวัตกรรมนี้ตั้งใจจะให้การปั่นจักรยานไปยังที่ต่างๆ เกิดขึ้นได้จริงอย่างต่อเนื่อง โดยไม่ลืมที่จะใส่ใจความปลอดภัยในช่วงโควิด และสนับสนุนให้วัฒนธรรมจักรยานเกิดขึ้นจริงในระยะยาว

 

  1. #coronasolutions – สื่อสารเรื่อง Covid-19 ผ่านสินค้าที่คุ้นเคย

แม้อินเทอร์เน็ตจะเป็นสิ่งที่ค่อนข้างแพร่หลายในปัจจุบันและมีผู้คนที่เข้าถึงอินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในแต่ละปี แต่เราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าคนจำนวนไม่น้อยบนโลกที่ยังเข้าไม่ถึงบริการนี้ ข้อมูลจาก International Telecommunication Union ระบุว่าในปี 2019 ประชากรโลก 53.6% หรือประมาณครึ่งหนึ่งเท่านั้นที่เป็นผู้ใช้อินเทอร์เน็ต

นักออกแบบชาวโคลัมเบีย 2 คนที่ปัจจุบันอาศัยอยู่ในโตเกียวตระหนักถึงเรื่องนี้ อีกทั้งยังรู้ดีว่าการใส่หน้ากากอนามัยมีประโยชน์เพียงใดในสถานการณ์แบบนี้ การใช้ชีวิตอยู่ในญี่ปุ่นและใกล้ชิดคนญี่ปุ่นฝึกให้พวกเขาเข้าใจความจำเป็นของหน้ากากอนามัย อย่างไรก็ตามในประเทศที่ไม่ได้มีวัฒนธรรมสวมหน้ากากอนามัยก็มักเรียนรู้เกี่ยวกับการใส่หน้ากากจาก online campaign เป็นส่วนใหญ่

เมื่อคิดถึงพื้นที่อื่นของโลกโดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนา รวมถึงโคลัมเบียบ้านเกิดของสองนักออกแบบ คนจะรู้จักการใส่หน้ากากอนามัยเป็นอย่างดีได้อย่างไร หากเขาเข้าไม่ถึงอินเทอร์เน็ต ทั้งสองจึงนึกถึงสินค้าอุปโภคบริโภคที่เข้าถึงคนหลากหลายอย่างข้าวสารหรือกระป๋องน้ำอัดลมให้เป็นตัวกลางพาข้อความสำคัญนี้ไปยังคนอีกมากมาย ผ่านการทำกราฟฟิกเข้าใจง่ายแปะลงบนฉลากสินค้าเหล่านั้น เนื้อหาในฉลากประกอบไปด้วยการทำหน้ากากด้วยตัวเอง ไปจนถึงวิธีการล้างมือและดูแลตัวเองให้ปลอดภัยจากไวรัส

โปรเจ็กต์นี้อยู่ระหว่างการหาพาร์ตเนอร์เพื่อทำให้มันเกิดขึ้นจริงได้

 

  1. Hello Landlord – จ่ายค่าเช่าไม่ไหว ให้เราช่วยสื่อสาร

คนที่อาศัยอยู่ในประเทศอเมริกาถึง 1 ใน 3 ไม่ได้จ่ายค่าเช่าอพาร์ตเมนต์ช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา นั่นเป็นเพราะว่าพวกเขาล้วนแต่ได้รับผลกระทบจากโควิดไม่ทางใดก็ทางหนึ่งซึ่งกระทบต่อรายได้ที่พวกเขาเคยมี

พอดีกับที่รัฐบาลกลางได้อนุมัติกฎหมายที่คุ้มครองการขับไล่ผู้เช่าบ้านบางส่วนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด (Care Acts) ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายจากบริษัท SixFifty จึงได้คิดทำโปรเจ็กต์ Hello Landlord ขึ้น เพื่อช่วยร่างจดหมายให้แก่ผู้เช่าสำหรับส่งต่อเจ้าของที่ เพื่อของดเว้นการขับไล่เนื่องจากไม่ได้จ่ายค่าเช่า เพราะยังมีอีกหลายคนที่อาจไม่ทราบข้อกฎหมายนี้ หรืออาจสื่อสารเองได้ไม่ถูกต้องเท่าไหร่นัก

ใจความในจดหมายมีสองประเด็นหลัก คือ 1.อธิบายเหตุผลว่าทำไมถึงไม่สามารถจ่ายค่าเช่าบ้านได้ในช่วงนี้ และ 2. กฎหมายไม่อนุญาตให้เจ้าของบ้านไล่ผู้เช่าออกในช่วงนี้

ผู้เช่าบ้านที่ไม่สามารถจ่ายค่าเช่าบ้าน สามารถเข้าถึงบริการนี้ได้ง่ายๆ ผ่านเว็บไซต์ เพียงพิมพ์เหตุผลและสถานการณ์ที่ตนเองเผชิญ ที่เหลือทาง Hello Landlord จะออกจดหมายฉบับสมบูรณ์ให้โดยผ่านระบบที่ตั้งค่าไว้โดยอัตโนมัติ

Hello Landlord บอกว่ากว่าแพลตฟอร์มนี้จะสำเร็จ พวกเขาได้ทดลองร่างจดหมายโดยใช้โทนของภาษาที่หลากหลาย เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่กระทบความสัมพันธ์ของผู้เช่าและเจ้าของบ้านในระยะยาว อีกทั้งยังใช้ความรู้เฉพาะทางด้านกฎหมายที่พวกเขามีในการสื่อสารและอธิบายเรื่องนี้ให้เข้าใจชัดเจนที่สุด

แหล่งข้อมูล:

https://www.voanews.com/covid-19-pandemic/text-message-crisis-help-line-speeds-expansion-amid-pandemic
https://www.crisistextline.org/data/bobs-notes-on-covid-19-mental-health-data-on-the-pandemic/

https://www.covidinnovations.com/home/02072020/polish-company-bike2box-introduces-temporary-bicycle-parking-boxes-to-meet-growing-demand-post-lockdown

https://bike2box.com/

https://www.instagram.com/tv/B_lGidGlfvM/?utm_source=ig_embed

https://www.fastcompany.com/90488239/cant-pay-rent-because-of-the-coronavirus-this-site-will-help-you-explain-your-rights-to-your-landlord

https://app.hellolandlord.org/

Keywords: , , , ,
  • Published Date: 15/11/2019
  • by: UNDP

Youth Co:Lab Thailand 2019 ถอดบทเรียนโครงการประกวดนวัตกรรมสังคมที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

 

เยาวชนเป็นวัยที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังและความคิดสร้างสรรค์  ในปัจจุบันเยาวชนมักถูกกล่าวถึงในมุมมองไม่ใช่เพียงแต่ “ผู้ได้รับผลประโยชน์” จากการพัฒนาที่ยั่งยืนเท่านั้น  แต่ยังมีบทบาทเป็น “ผู้ขับเคลื่อน” การพัฒนาที่ยั่งยืนเช่นกัน โดยสิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้เยาวชนมีบทบาทในการเป็นผู้ขับเคลื่อนได้ คือการสร้างพื้นที่ ให้สังคมได้รับฟังเสียงของเยาวชน และให้พวกเขาได้แสดงศักยภาพในการสร้างการเปลี่ยนแปลงสังคมในแบบที่พวกเขาอยากเห็น โครงการ Youth Co:Lab จึงเป็นพื้นที่หนึ่งซึ่งเกิดขึ้นจากความตั้งใจที่จะสร้างการขับเคลื่อนสังคมจากระดับเยาวชน

Youth Co:Lab เป็นโครงการระดับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ดำเนินการโดยโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ ร่วมกับมูลนิธิซิตี้ โดยมีความตั้งใจที่จะพัฒนาศักยภาพเยาวชนในการเป็นนวัตกรและผู้ประกอบการเพื่อสังคม เพื่อให้เยาวชนมีบทบาทในการร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจ รวมไปถึงแก้ไขปัญหาสังคมในแบบที่ตนเองอยากเห็น ซึ่งได้ดำเนินโครงการมาเป็นปีที่ 3 แล้วในประเทศไทย

รูปแบบของโครงการ Youth Co:Lab ในประเทศไทย คือการเฟ้นหาไอเดียนวัตกรรมทางสังคมจากเยาวชนทั่วประเทศไทย และให้เยาวชนมาเข้าร่วมเวิร์กชอปเพื่อพัฒนาศักยภาพ ผ่านกระบวนการออกแบบโดยใช้มนุษย์เป็นศูนย์กลาง (Human-centered Design) รวมไปถึงเรียนรู้การพัฒนาแผนทางการเงินและธุรกิจเพื่อความยั่งยืน ก่อนจะนำเสนอโครงการต่อคณะกรรมการเพื่อชิงทุนในการนำไปพัฒนาโครงการให้เกิดขึ้นจริงในพื้นที่ของตนเอง โดยปีนี้ เรามาพร้อมกับความตั้งใจที่จะเข้าถึงเรื่องที่ยากและลึกขึ้นกว่าเดิม นั่นก็คือการทำให้เยาวชนกลุ่มเปราะบางเข้าใจและเข้าถึงปัญหาที่มีความซับซ้อน และสามารถนำแนวคิดนวัตกรรมสังคมไปใช้ในการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น

เราได้ตั้งคำถามว่า จะเป็นอย่างไรถ้าเราจะเลือกใช้โจทย์ที่มีความเป็นนามธรรมสูง การใช้กระบวนการทางนวัตกรรมจะทำให้ปัญหาเหล่านี้ถูกถ่ายทอดออกมาเป็นรูปธรรมได้มากขึ้นหรือไม่ และนี่คือหนึ่งในความตั้งใจของเราเมื่อตัดสินใจหยิบยกประเด็นปัญหาทางสังคมที่มีความซับซ้อนอย่างเช่น “การป้องกันความรุนแรงแบบสุดโต่ง การจัดการความขัดแย้ง และการลดความเหลื่อมล้ำ” มาเป็นแนวคิดคิดหลักของงาน

หากพูดถึงความรุนแรงแบบสุดโต่ง ความขัดแย้ง และความเหลื่อมล้ำ ดูจะเป็นประเด็นปัญหาที่สั่งสมมาจากมุมมองของคนที่ต่างกัน นำไปสู่ ‘การตัดสิน’ และ ‘การตีตรา’ ผู้อื่น การที่จะแก้ไขปัญหาเหล่านี้ จำเป็นต้องใช้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง โดยเริ่มจากการเปิดใจและยอมรับความหลากหลาย “การสร้างสังคมที่เคารพความแตกต่าง เปิดรับความหลากหลาย” จึงกลายเป็นโจทย์ของ Youth Co:Lab ในปีนี้ ซึ่งในบริบทของประเทศไทยเอง มีความหลากหลายในสังคมที่ทำให้เกิดการแบ่งแยกอยู่หลายมิติ ไม่ว่าจะเป็น เรื่องชาติพันธุ์ ศาสนา ความคิดเห็นทางการเมือง การเข้าถึงทรัพยากร ฯลฯ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการการเอาชนะ กดทับกลุ่มที่เห็นต่าง การต่อสู้ระหว่างกัน จนนำไปสู่ความเหลื่อมล้ำ และอาจพาไปถึงการใช้ความรุนแรงเพื่อยืนยันจุดยืนของตัวเองก็เป็นได้

เมื่อตั้งต้นโจทย์ด้วย “การเคารพความแตกต่าง เปิดรับความหลากหลาย” จึงจำเป็นอย่างมากที่กระบวนการทำงานของเราจะต้องสะท้อนคุณค่านี้ออกมาด้วย พวกเราจึงมีความตั้งใจมากในการเข้าถึงเยาวชนที่มีความหลากหลายให้ได้มากที่สุด และเราอยากให้เยาวชนที่กำลังประสบปัญหาโดยตรงเหล่านี้ เป็นผู้ที่ลุกขึ้นมาแสดงแนวคิดและส่งไอเดียนวัตกรรมสังคมเข้ามาด้วยตัวเอง เพราะเราเชื่อว่านวัตกรรมที่แก้ไขปัญหาได้จริง ต้องเกิดจากการเข้าใจรากของปัญหาอย่างลึกซึ้ง และ Youth Co:Lab เป็นโครงการที่จะช่วยพัฒนาขีดความสามารถในการสร้างนวัตกรรมให้กับเยาวชน หากเราพาเครื่องมือนี้ไปถึงกลุ่มเยาวชนที่อยู่ในปัญหา เขาอาจจะสามารถใช้ประโยชน์จากเครื่องมือในการสร้างการเปลี่ยนแปลงในพื้นที่ของเขาได้

ดังนั้นถึงแม้งาน Youth Co:Lab จะฟังดูเหมือนเป็นงานอีเวนต์ในระยะเวลาแค่ 3 วัน แต่จริง ๆ แล้วมันเป็นกระบวนการที่ถูกออกแบบและดำเนินการมาในระยะเวลาหลายเดือนเพื่อที่จะทำให้ Youth Co:Lab เป็นโครงการบ่มเพาะที่เข้าถึงเยาวชนทุกรูปแบบอย่างแท้จริง ซึ่งในบทความนี้จะมาถอดบทเรียนกระบวนการที่เกิดขึ้นโดยแบ่งออกเป็น 2 ช่วงคือ กระบวนการก่อนงาน และกระบวนการที่เกิดขึ้นระหว่างงาน Youth Co:Lab Thailand 2019

 

ก่อนจะถึงงาน Youth Co:Lab Thailand 2019

 

กิจกรรม Roadshow ในแต่ละภูมิภาคของประเทศไทย

เริ่มต้นด้วยการไป Roadshow ในภาคต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นภาคใต้ อีสาน และเหนือ โดยเราได้ทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์เพื่อขอคำแนะนำในการเข้าถึงเครือข่ายเยาวชนที่ทำงานเกี่ยวกับประเด็นสันติภาพ ความขัดแย้ง และความเหลื่อมล้ำในพื้นที่ ซึ่งรูปแบบของการจัด Roadshow ก็แตกต่างกันออกไปตามบริบทของแต่ละพื้นที่ เช่นในภาคใต้ เราเน้นการไปลงพื้นที่พบปะกลุ่มเยาวชนหลากหลายกลุ่มในพื้นที่องค์กรของเขาเอง ในภาคอีสาน เราไปจัดงานที่มหาวิทยาลัยเพื่อเข้าถึงกลุ่มนักศึกษาที่ขับเคลื่อนงานด้านสิทธิหรือพัฒนาสังคมผ่านกิจกรรมชมรม และในภาคเหนือ เราได้ประสานไปยังเครือข่ายเยาวชนชาติพันธุ์ เพื่อเข้าถึงเยาวชนจากหลากหลายชาติพันธุ์ของประเทศ

การปรับรูปแบบให้แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ ทำให้เราสามารถเข้าถึงกลุ่มเยาวชนตามบริบทของพื้นที่นั้น ๆ ได้อย่างเหมาะสม อย่างไรก็ตาม เนื้อหากิจกรรมใน Roadshow ก็ยังคงมีใจความเดียวกัน นั่นคือ การให้เยาวชนได้แบ่งปันและพูดคุยถึงความแตกต่างหลากหลายที่นำมาสู่สถานการณ์ต่าง ๆ ในพื้นที่ของตัวเอง การแนะนำแนวคิดนวัตกรรมสังคม และการให้คำปรึกษาน้อง ๆ ในการพัฒนาโครงการ

การได้ฟังประสบการณ์ของเยาวชนที่นำเรื่องราวมาแบ่งปันในระหว่าง Roadshow ให้เราเข้าใจถึงประเด็นปัญหาของความแตกต่างหลากหลายในบริบทของแต่ละพื้นที่อย่างลึกซึ้งมากขึ้น และเมื่อยิ่งได้ฟังเรื่องราวของน้อง ๆ ก็ยิ่งทำให้เรายิ่งรู้สึกมั่นใจมากขึ้นว่า เรากำลังเข้าถึงกลุ่มเยาวชนที่เรามองหาจริง ๆ นั่นคือ กลุ่มผู้ที่ประสบปัญหาด้วยตัวเอง และเรื่องราวของพวกเขาเหล่านี้ก็ไม่ได้ถูกหยิบยกมานำเสนอในสังคมวงกว้างเท่าไรนัก เช่น เรื่องราวของน้องเยาวชนชาติพันธุ์ที่เป็นคนไร้สัญชาติ กับความพยายามในขอสัญชาติมานานกว่า 11 ปี และยังคงต่อสู้ในกระบวนการเพื่อให้ได้มาซึ่งสัญชาติไทย หรือ น้องทีมฟุตบอลหญิงชาวมุสลิมที่แต่งตัวไม่ตรงตามหลักศาสนา เนื่องจากขาดความคล่องตัว ทำให้เกิดความไม่เข้าใจจากคนในพื้นที่ เป็นต้น เมื่อเราได้ลองใส่แว่นในมุมของเขาแล้ว ขั้นต่อไปคือการเชิญชวนให้เขาได้ลองใส่แว่นในมุมมองของเราบ้าง และนั่นก็คือการแนะนำให้เขารู้จักกับ “นวัตกรรมสังคม” น้อง ๆ หลายคนจะรู้สึกว่า นวัตกรรมเป็นเรื่องไกลตัว เพราะรู้สึกว่าเป็นเรื่องของเทคโนโลยีที่เขาไม่มีความรู้ เราจึงต้องเริ่มปูพื้นให้ความหมายของนวัตกรรมสังคม ว่าจริง ๆ แล้ว มันคือคือ “วิธีการใหม่ ๆ ในการแก้ปัญหาเดิม ๆ” ซึ่งบางอย่างก็อาจจะเป็นเรื่องที่พวกเขากำลังทดลองทำกันอยู่ก็เป็นได้ โดยเราได้ยกตัวอย่างนวัตกรรมสังคมจากหลากหลายประเทศมาประกอบเพื่อให้น้อง ๆ เห็นภาพมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม แม้จะเริ่มเห็นภาพชัดเจนขึ้นแล้ว คำถามที่เรายังได้ยินจากปากน้อง ๆ ทุกภาค คือ “แล้วโครงการของหนูจะดีพอไปสู่กับภาคอื่น ๆ เหรอพี่” ซึ่งทุกครั้งเราก็จะยิ้มแล้วบอกน้องว่า “การที่น้องเป็นคนที่อยู่ในปัญหาแล้วลุกขึ้นมาแก้ปัญหาด้วยตัวเอง นั่นทำให้น้องเป็นผู้เชี่ยวชาญที่สุดแล้ว เพราะเราย่อมเข้าใจปัญหาของเราได้ดีที่สุด” คำถามที่เกิดขึ้นเหล่านี้สะท้อนถึงความไม่มั่นใจในตัวเองของเยาวชน ในขณะที่เราเองก็อยากให้น้อง ๆ เห็นสิ่งที่เรามองเห็นเช่นกันว่า พวกเขามีความกล้าหาญและมีศักยภาพมากแค่ไหน สุดท้ายแล้ว เราจึงช่วยเพิ่มความมั่นใจด้วยการเปิดโอกาสสำหรับการปรึกษาโครงการว่า ตอนนี้มีโครงการอะไรที่น้อง ๆ อยากทำหรือกำลังทำอยู่บ้าง และควรไปทำการบ้านพัฒนาเพิ่มเติมอย่างไรเพื่อจะสมัครเข้าร่วม Youth Co:Lab ได้

เมื่อเสร็จสิ้นการ Roadshow และปิดรับสมัครส่งโครงการ เราจึงดีใจมากที่ได้เห็นน้อง ๆ ที่เราไปพบหลาย ๆ คนก้าวข้ามความกลัวของตัวเอง และตัดสินใจส่งโครงการมาเข้าประกวดในครั้งนี้

 

การบ้านในการเตรียมตัวของผู้เข้าร่วมงาน

เนื่องจากระยะเวลาในงาน Youth Co:Lab นั้นค่อนข้างสั้น การจะพัฒนาและเปลี่ยนแปลงโครงการให้ดีขึ้นภายในระยะเวลา 3 วัน เป็นสิ่งที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องมีกระบวนการให้ผู้เข้าร่วมไปทำการบ้านมาก่อน แม้ว่าโครงการที่ส่งเข้ามาจะอยู่ในระยะที่ต่างกัน บางโครงการอยู่ในระยะริเริ่มไอเดีย ในขณะที่บางโครงการอาจจะมีการทำ Prototype หรือนำผลิตภัณฑ์ตัวเองออกสู่ตลาดแล้ว อย่างไรก็ตาม เรารู้สึกว่าสิ่งหนึ่งที่ทุกทีมไม่ว่าจะอยู่ในระยะใดต้องมีคำตอบที่ชัดเจนเพื่อจะไปต่อกับโครงการได้จริง คือ การทำความเข้าใจผู้ใช้หรือผู้ที่เราต้องการจะแก้ไขปัญหาให้ ดังนั้น เราจึงให้การบ้านกับแต่ละทีมที่ผ่านเข้ารอบไปสัมภาษณ์ผู้ได้รับผลประโยชน์และผู้ที่เกี่ยวข้อง แล้วนำข้อมูลเหล่านั้นมาวิเคราะห์ เรียบเรียงไปคู่กับเป้าหมายที่แต่ละทีมอยากเห็นในอนาคต ผ่านเครื่องมือ “ทฤษฎีการเปลี่ยนแปลง (Theory of Change)” เพื่อเป็นการทบทวนเจตจำนงในการทำโครงการก่อนมาเข้าร่วมงาน

ทั้งนี้ การบ้านที่กล่าวมาก็เป็นกระบวนการที่น้อง ๆ จะได้ลองผิดลองถูก ทำความเข้าใจกับบริบทของปัญหา และตรวจสอบความเป็นไปได้หรือความถูกต้องของสมมติฐานในการแก้ไขปัญหาที่คิดขึ้น  เราไม่ได้คาดหวังว่าทุกทีมจะต้องมาพร้อมกับคำตอบที่ชัดเจน ถูกต้อง เพราะท้ายที่สุดแล้ว กระบวนการในการสร้างนวัตกรรมทางสังคมก็เป็นกระบวนการที่ต้องมีการทำซ้ำและพัฒนาไปเรื่อย ๆ ดังนั้นจุดประสงค์ของการทำการบ้านนี้จึงเป็นไปเพื่อให้น้อง ๆ ได้ออกมาจากวิธีการคิดเดิม ๆ รู้จักมองผู้ใช้เป็นศูนย์กลาง และลองทำความคุ้นเคยกับเครื่องมือดูก่อนเข้าร่วมโครงการ

สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างงาน Youth Co:Lab Thailand 2019

 

มิตรภาพ

จุดประสงค์ของงาน Youth Co:Lab ไม่ใช่เพียงการแข่งขันหาผู้ชนะที่จะได้เงินรางวัลในการไปต่อ แต่เป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ของเยาวชนที่มีความเชื่อและความตั้งใจในการแก้ปัญหาสังคมมาเรียนรู้ร่วมกัน ทำให้เกิดเครือข่ายเยาวชนที่เข้มแข็ง เพื่อไปเป็นผู้เปลี่ยนแปลงสังคมในพื้นที่ของตัวเองต่อไป ดังนั้นเราจึงให้ความสำคัญกับการสร้างพื้นที่ให้ผู้เข้าร่วมได้สร้างความสัมพันธ์และเรียนรู้ตัวตนของกันและกันด้วยความเคารพในความแตกต่าง และเปิดรับความหลากหลาย กิจกรรมในคืนแรกของงานจึงเน้นไปที่การผ่อนคลายให้ทุกคนได้ทำความรู้จักกัน  แต่ก็ยังแฝงการปูพื้นแนวคิดเรื่องเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนและนวัตกรรมสังคมเข้าไป
เราแบ่งกิจกรรมออกเป็น 3 ส่วน คือ
1)  การเรียนรู้เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนผ่านกรณีศึกษานวัตกรรมสังคมในประเทศไทยและต่างประเทศ โดยได้นำเนื้อหามาสื่อสารผ่านการเล่นเจงก้ายักษ์ ซึ่งต้องเล่นกันเป็นทีมด้วยความสามัคคี ทำให้เยาวชนจากต่างกลุ่มได้รู้จักกันมากขึ้น
2) การแบ่งปันประสบการณ์ ทั้งอุปสรรค ความท้าทาย และความสำเร็จของเยาวชนผู้มาเป็นวิทยากร จากภาคเหนือ กลาง และใต้ ที่กำลังขับเคลื่อนให้เกิดนวัตกรรมสังคมเพื่อสันติภาพ พร้อมรับประทานอาหารและเปิดโอกาสให้น้อง ๆ ผู้เข้าร่วมได้สังสรรค์ และแลกเปลี่ยนพูดคุยกัน
3) การทำความรู้จักตัวตนของเพื่อน ๆ ผ่านการเล่นเกม เช่น I am… but I am not… ซึ่งเป็นบัตรชวนพูดคุยในมื้ออาหาร หรือ Common Ground หาจุดร่วมและจุดต่างของแต่ละคน เพื่อสร้างความสนิทสนม ชวนให้ผู้เข้าร่วมได้เปิดเผยตัวตน และทำความเข้าใจในความหลากหลายของทุก ๆ คน

 

การสร้างพื้นที่ปลอดภัย

การทำความรู้จักสร้างสัมพันธ์ในคืนแรกถือเป็นประตูบานแรกสำหรับการเปิดรับความแตกต่างระหว่างกัน อย่างไรก็ตาม การสร้างให้มีพื้นที่ปลอดภัยก่อนเข้าสู่เนื้อหาของการเวิร์กชอปที่เข้มข้นก็เป็นเรื่องสำคัญ วิธีการของเราเริ่มต้นด้วยการเช็คความรู้สึกและความคาดหวังของผู้เข้าร่วม ให้น้อง ๆ ได้เท “ความกลัว” และความรู้สึกกดดันต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้นในงานออกมา ซึ่งการได้เปิดใจต่อความกลัวนี้ ทำให้ผู้เข้าร่วมรู้สึกเชื่อมโยงกันผ่านการเข้าใจธรรมชาติของอารมณ์มนุษย์ พร้อมกับปรับความเข้าใจใหม่ว่า พื้นที่ในสามวันนี้จะเป็นพื้นที่สำหรับการเรียนรู้ร่วมกัน เพื่อเป็นประโยชน์ในการพัฒนาศักยภาพและโครงการของทุกคน

การสร้างพื้นที่ปลอดภัยนี้ ไม่เพียงเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นในช่วงแรกของกิจกรรมเท่านั้น บทบาทของกระบวนกรไม่ได้เป็นแค่ผู้ออกแบบกระบวนการและให้ความรู้ แต่ยังต้องเป็นคนที่คอยเช็คและรับรู้ถึงความรู้สึกของผู้เข้าร่วมในระหว่างทาง หากสัมผัสได้ถึงสภาวะบีบคั้นหรือกังวล ก็อาจต้องพักจากบทเรียนชั่วคราว แล้วกลับมาเทความกังวลหรือแบ่งปันความรู้สึกกันอีกรอบ เพื่อให้การเรียนรู้ของผู้เข้าร่วมไปต่อได้อย่างสมดุล

 

ทำความเข้าใจที่มาของปัญหาอย่างลึกซึ้ง

เวลาเกือบครึ่งของการเวิร์กชอปถูกใช้ไปกับการให้แต่ละทีมได้ทบทวนที่มาของปัญหาที่ต้องการจะแก้ไข ตั้งแต่การทำความเข้าใจภาพรวมจากปัญหาไปสู่วิธีแก้ไขอย่างยั่งยืนผ่านทฤษฎีการเปลี่ยนแปลง (Theory of Change) และการกลับไปขุดรากลึกของปัญหาผ่านการคิดอย่างเป็นระบบด้วยโมเดลภูเขาน้ำแข็ง ( Iceberg Model) เพื่อให้ผู้เข้าร่วมได้เข้าใจเหตุที่ลึกขึ้นของปรากฏการณ์ที่เห็นผิวเผิน เช่น พฤติกรรมที่เกิดขึ้น ระบบที่ทำให้เกิดพฤติกรรมนั้น และแนวคิด ความเชื่อ หรือค่านิยมที่มีอิทธิพลต่อเหตุการณ์นั้น ๆ การใช้เวลาในการทำความเข้าใจปัญหาอย่างลึกซึ้งไม่เพียงแต่ช่วยให้แต่ละทีมมีความชัดเจนในการพัฒนาไอเดียการแก้ไขให้ตรงจุดมากขึ้น แต่ยังช่วยทำให้ผู้เข้ารู้สึกเชื่อมโยงกัน เนื่องด้วยปัญหาได้สะท้อนให้เห็นว่า ถึงแม้ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละพื้นที่จะมีรูปแบบต่างกัน แต่พวกเราทั้งหมดกำลังร่วมกันแก้ไขปัญหาในรากเหง้าเดียวกัน นั่นคือ “การมองคนไม่เท่ากัน” การเข้าใจปัญหาหาในมิติที่เชื่อมโยงกันได้ช่วยลดกำแพงในการแข่งขัน ขับเคลื่อนมิตรภาพ และทำให้เกิดการเปิดใจและสร้างกำลังใจให้เยาวชนทุกคนรู้สึกว่า “เราไม่ได้กำลังแก้ไขปัญหาที่ใหญ่และยากนี้อยู่คนเดียว”

 

การพัฒนาโครงการผ่านการแลกเปลี่ยนมุมมองกันระหว่างผู้เข้าร่วมโครงการ

รูปแบบกระบวนการที่เราใช้เพื่อพัฒนาศักยภาพและโครงการของทุกกลุ่มเป็นในลักษณะของการเรียนรู้จากเพื่อน (Peer-to-Peer learning) ซึ่งเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในทุกขั้นตอนของการเวิร์กชอป โดยผู้เข้าร่วมมีโอกาสทั้งได้นำเสนอโครงการให้เพื่อน ๆ  ฟังและเป็นคนให้ข้อเสนอแนะ กระบวนการสะท้อนและให้ข้อแนะนำระหว่างกันที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ ทำให้ทุกคนได้มีโอกาสถอยออกมาจากประเด็นปัญหาของตัวเอง มาลองมองปัญหามุมอื่น ๆ  และขยายมุมมองทางความคิด ซึ่งอาจทำให้เกิดประโยชน์ในการนำกลับมาวิเคราะห์เพื่อพัฒนาโครงการของตัวเองต่อไป ทั้งนี้กระบวนการนี้ยังช่วยย้ำใจความสำคัญของงานอีกด้วยว่า ปัญหาเหล่านี้เป็นปัญหาของทุกคนที่ต้องร่วมกันแก้ไข เราจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสังคมได้หากเราโฟกัสอยู่ที่จุดของเราแค่เพียงจุดเดียว และพื้นที่ตรงนี้เป็นพื้นที่ที่เราต้องมาสร้างความร่วมมือกันในการเปลี่ยนแปลง มากกว่าการแข่งขันเพื่อเอาชนะ

 

การพูดคุยกับเมนเทอร์

ในใบรับสมัครเข้าร่วมโครงการ จะมีการถามแต่ละทีมว่ายังต้องการองค์ความรู้หรือคำแนะนำด้านไหนในการต่อยอดโครงการอีกหรือไม่ เพราะเราเชื่อว่าการได้มาพบกับผู้เชี่ยวชาญด้านอื่น ๆ จะช่วยเสริมสร้างและผนึกองค์ความรู้ทำให้การพัฒนาโครงการมีความยั่งยืนมากขึ้น ในงานนี้เราจึงได้รวบรวมผู้เชี่ยวชาญตามคำขอของน้อง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจ การสร้างความร่วมมือ กฎหมาย สื่อ การออกแบบกระบวนการเรียนรู้ การขับเคลื่อนงานสันติภาพ สร้างการมีส่วนร่วมในกระบวนการประชาธิปไตย เทคโนโลยี และการใช้เกมเป็นเครื่องมือในการออกแบบประสบการณ์ผู้ใช้ มาช่วยให้คำปรึกษาอย่างสร้างสรรค์ การปรึกษาและพูดคุยนี้ถือเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่เกิดจากการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ของบุคคลที่ช่วยกันต่อยอดให้ไอเดียให้เข้าใกล้ความจริงมากขึ้น

การออกแบบเรื่องเล่าเพื่อนำเสนอโครงการ

ส่วนสุดท้ายที่มีความสำคัญไม่แพ้ส่วนอื่น ๆ คือการออกแบบการเล่าเรื่องเพื่อนำเสนอโครงการ โดยไม่ใช่เพียงเพื่อให้ได้เงินรางวัลเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่นี่เป็นโอกาสที่สำคัญที่เยาวชนได้มีโอกาสส่งเสียงบอกผู้คนให้ได้รับรู้ถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในพื้นที่ของเขาที่คนภายนอกอาจจะไม่ทราบมาก่อน และยังเป็นพื้นที่แสดงพลังความตั้งใจของเยาวชนในการสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในพื้นที่ของตัวเองอีกด้วย ถึงแม้ว่าเราจะสอนวิธีการนำเสนอ (pitch) ที่ดี มีโครงสร้างตัวอย่างที่มีประสิทธิภาพที่วิเคราะห์มาจากหลายเวที แต่เราก็เน้นย้ำเสมอว่า ถ้าน้อง ๆ ไม่เห็นด้วยกับตัวอย่างที่ให้ไป ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำตาม สิ่งสำคัญที่สุดคือการที่น้อง ๆ ได้เล่าเรื่องที่อยากจะเล่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งประสบการณ์ตรงของตัวเองที่ทำให้ริเริ่มทำนวัตกรรมสังคมนี้ขึ้นมา ซึ่งจะทำให้คนในสังคมเกิดความตระหนักรู้และมาร่วมแรงร่วมใจกันแก้ปัญหามากขึ้น สิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญในฐานะนักเปลี่ยนแปลงสังคมที่เยาวชนทุกคนสามารถทำได้ทันที

 

 

จะเห็นได้ว่าภายใต้แนวคิดการออกแบบกระบวนการทั้งหมดที่เกิดขึ้นในโครงการ Youth Co:Lab Thailand 2019 การแข่งขันประกวดนวัตกรรมเป็นเพียงประตูชั้นแรกสุดที่เชิญชวนทุก ๆ คนมาเข้าร่วมเท่านั้น หัวใจที่สำคัญที่สุดของงาน คือ “การสร้างพื้นที่สำหรับสร้างความร่วมมือระหว่างเยาวชนในการเปลี่ยนแปลงสังคม” ซึ่งมีความหมายตรงกับคำว่า Youth (เยาวชน) Co (ร่วมมือ) Lab (การทดลองสิ่งใหม่ ๆ ) และเราก็ได้เห็นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นตามที่ได้ตั้งความหวังไว้ นั่นคือ ความสัมพันธ์ที่เหนียวแน่นของน้อง ๆ และความมุ่งมั่นในการตั้งใจแก้ปัญหาสังคมเพื่อสันติภาพที่ยั่งยืนในพื้นที่ตัวเอง เราได้ยินเสียงน้อง ๆ ส่งเสียงเชียร์เพื่อนทีมอื่น ๆ ในช่วงนำเสนอโครงการ ได้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนต่างภาคที่ยังคงมาบอกเล่าความเป็นไปในชีวิตหลังจากกลับบ้านไปแล้ว รวมไปถึงได้เห็นการชวนกันรวมกลุ่มเพื่อทำโครงการใหม่ ๆ ระหว่างภาค สิ่งเหล่านี้คือตัวชี้วัดความสำเร็จของโครงการว่า การแข่งขันบนบรรยากาศแห่งความร่วมมือนั้นเกิดขึ้นได้จริง และแน่นอนว่าปัญหาที่ใหญ่และซับซ้อนอย่าง “การสร้างสันติภาพ” มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องใช้รูปแบบการสร้างความร่วมมือนี้ในการขับเคลื่อนการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน

 

 

สุดท้ายนี้ Thailand Social Innovation Platform ภายใต้โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติขอขอบคุณพาร์ทเนอร์จากทุกภาคส่วนที่มาร่วมสร้างสรรค์ให้งาน Youth Co:Lab ประเทศไทยในปีนี้เกิดขึ้นได้อย่างสมบูรณ์ ไม่ว่าจะเป็น

-มูลนิธิซิตี้ ผู้สนับสนุนหลักระดับภูมิภาค
-คณะผู้แทนสหภาพยุโรปประจำประเทศไทย สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ สายการบินแอร์เอเชีย ผู้สนับสนุนในการจัดงาน
-สภาความมั่นคงแห่งชาติแห่งชาติ ที่ให้เกียรติมาเป็นกรรมการพิเศษ
-สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย ผู้ร่วมจัดกระบวนการ
-เมนเทอร์ทุกท่านที่เต็มใจมาให้คำปรึกษาน้อง ๆ อย่างทุ่มเท
-คุณวรรณสิงห์ ประเสริฐกุล ที่ร่วมเป็นทูตประชาสัมพันธ์การจัดงาน Youth Co:Lab Thailand 2019
-และที่สำคัญที่สุด น้องๆ ผู้เข้าร่วมโครงการ Youth Co:Lab Thailand 2019 สำหรับความตั้งใจและความทุ่มเท

 

Keywords: , , , , ,
  • Published Date: 01/10/2019
  • by: UNDP

ถอดบทเรียนจากแคว้นบาสก์: การสร้างแพลตฟอร์มนวัตกรรมสังคมในพื้นที่ขัดแย้งเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน

ถอดบทเรียนแคว้นบาสก์ : การสร้างนวัตกรรมสังคมในพื้นที่ขัดแย้งจาก ‘Gorka Espiau’ ผู้เชี่ยวชาญด้านนวัตกรรมสังคมที่เชื่อว่า ‘ความขัดแย้งลดลงได้หากเราเชื่อมั่น’

 
“คำถามสำคัญสำหรับการทำงานในพื้นที่ที่มีความขัดแย้ง คือ คุณคิดว่าการเปลี่ยนแปลงมันเกิดขึ้นได้ไหม ?”

‘Gorka Espiau’ คือผู้เชี่ยวชาญด้านนวัตกรรมสังคม ซึ่งเป็นนักวิชาการอาวุโส จากศูนย์การศึกษาสังคมและการเมือง (The Agirre Lehendakaria Center : ALC) ที่มีความเชื่อว่า ‘ความขัดแย้ง’ ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ต่าง ๆ ของโลกใบนี้สามารถลดลงได้ หากพวกเราช่วยกันทั้งกำลังคนและนวัตกรรม พร้อมระลึกอยู่เสมอว่า การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้จริง ครั้งนี้เขามาร่วมแบ่งปันประสบการณ์ในงานสัมมนาที่ TCDC กรุงเทพฯ ในวันที่ 20 กันยายน 2562 ซึ่งจัดโดย UNDP ประเทศไทย “การสร้างแพลตฟอร์มนวัตกรรมสังคมในพื้นที่ขัดแย้ง : กรณีศึกษาจากแคว้นบาสก์”

 

 
แคว้นบาสก์ ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศสเปน เป็นเมืองที่เคยมีความขัดแย้งอย่างรุนแรงมาก่อน มีกลุ่มชาตินิยมแคว้นบาสก์ซึ่งมีเป้าหมายสูงสุดทางการเมืองคือการได้รับเอกราช และการก่อตั้งเป็นประเทศบาสก์ ความรุนแรงระหว่างกลุ่มคนที่คิดต่างกันก็ทวีคูณขึ้นเรื่อยๆ  มีการใช้อาวุธ และปัญหายาเสพติด ค่า GDP ก็ต่ำกว่ามาตรฐานที่ EU กำหนด ทำให้ภาพลักษณ์ของแคว้นบาสก์แย่ลงไปทุกวัน จนส่งผลให้ในยุค 1980 เศรษฐกิจของแคว้นบาสก์ล่มสลาย อัตราการว่างงานสูงเป็นประวัติการณ์

 
นับตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 1980 เป็นต้นมาแคว้นบาสก์เริ่มต้นพลิกฟื้นประเทศด้วยการสร้างพิพิธภัณฑ์ ‘Guggenheim’ ในเมืองบิลเบา โดย Frank Gehry สถาปนิกชาวแคนาดา ซึ่งนับเป็นสัญลักษณ์แห่งการเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงของแคว้นบาสก์

 

 
หลังจากนั้น แคว้นบาสก์เริ่มให้ความสนใจกับการเปลี่ยนแปลง และการลดความขัดแย้งอย่างจริงจัง โดยแคว้นบาสก์ไม่ได้ใช้กระบวนการนวัตกรรมเพื่อพัฒนาเมืองหลังจากความขัดแย้งหมดไป แต่พวกเขาใช้นวัตกรรมทางสังคมเป็นเครื่องมือในการพัฒนาเมืองและสร้างสันติภาพไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งนวัตกรรมทางสังคมในที่นี้ ปกติหลายคนอาจนึกถึงเทคโนโลยี แต่จริงๆ แล้วมันหมายถึง กระบวนการหรือวิธีการใหม่ ๆ ที่ทำให้เราสามารถแก้ไขปัญหาเดิมได้อย่างสันติ

วิธีการที่ว่า Gorka Espiau สรุปให้ฟังอย่างเข้าใจง่าย ๆ ว่า การทำงานในพื้นที่ที่มีความขัดแย้ง คำถามหรือหัวใจสำคัญคือ

“ทุกคนคิดว่า การเปลี่ยนแปลงสามารถเกิดขึ้นได้ไหม เพราะไม่ว่าจะในสถานการณ์ที่แย่แค่ไหน แต่ถ้าคนในพื้นที่เชื่อว่า มันสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงได้ มันก็จะมีหนทาง”

 
จากการถอดบทเรียนการพัฒนาในแคว้นบาสก์ การสร้างแพลตฟอร์มนวัตกรรมสังคมในพื้นที่ขัดแย้งมีวิธีการอยู่ด้วยกัน 5 ระดับ ได้แก่

    1. การมีส่วนร่วมชองชุมชน (Community Action)
    2. การสร้างโปรเจกต์ขนาดเล็กไปจนถึงขนาดกลาง (Small / Medium Scale Projects)
    3. การสร้างโปรเจกต์ขนาดใหญ่ (Large Scale Projects) ที่เป็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน
    4. สร้างการบริการภาครัฐใหม่ๆ (New Services)
    5. สร้างให้เกิดกฎระเบียบ หรือข้อบังคับใหม่ๆ (New Regulations)

 
ซึ่งทั้ง 5 ระดับเหล่านั้น ต้องทำงานอย่างสัมพันธ์และเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกัน ผ่านสิ่งที่เรียกว่า ‘การฟัง’ (Listening) โดยต้องสร้างกระบวนการฟังให้เกิดขึ้นในพื้นที่ที่มีความขัดแย้ง เช่น จัดพื้นที่สร้างสรรค์ร่วมกัน เพื่อให้บอกเล่าโอกาสและปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น มองหาหนทางสร้างการเปลี่ยนแปลง ทำความเข้าใจว่าโอกาสคืออะไร ผ่านการพูดคุย สังเกต เพราะแค่เราเริ่มถามและฟัง ก็สร้างความเข้าใจได้ หรืออาจให้ผู้ที่เห็นต่างกันมาพูดคุย เพื่อหาแรงจูงใจในการทำ (Senses Making) เพื่อดูว่าคนแต่ละคนให้คุณค่ากับอะไร อะไรที่ทำให้เขาทำแบบนั้น หรือเขามีความเชื่ออะไร จากนั้นให้ทุกส่วนที่เกี่ยวข้องมาทำงานร่วมกัน (Co-Creation)  เพื่อวิเคราะห์ปัญหา สร้างความเข้าใจกับผู้คน ทำแผนที่ประกอบ และสร้างการเรียนรู้ ตามมาด้วยการคิดนวัตกรรม ไอเดีย หรือวิธีการใหม่ๆ จากความต้องการของคนในพื้นที่ ทำต้นแบบทดลองที่เชื่อมโยงกัน (Prototype of Interconnected Projects) เพื่อทำการทดลองกระบวนการร่วมกัน จนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นระบบ (Scale) ที่ไม่ใช่การยกระดับโครงการเท่านั้น แต่ต้องยกระดับทั้งกระบวนการนั่นเอง

 

 
การเปลี่ยนแปลงในแคว้นบาสก์เกิดขึ้นจากการกระทำที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น การฟื้นฟูภาษาบาสก์ ซึ่งเป็นภาษาท้องถิ่นที่กำลังจะสูญพันธ์ เพราะภาษาคือรากฐานแห่งวัฒนธรรมทั้งหมด ถัดมาคือการให้ความสำคัญกับอาหาร เพราะลึกๆ แล้วชาวบาสก์อยากชูวัตถุดิบท้องถิ่นตัวเองให้โดดเด่น จึงสร้างอุตสาหกรรมอาหารด้วยการผสมผสานเทคนิกของชาวฝรั่งเศส แล้วเปิดร้านอาหารและโรงเรียนสอนทำอาหาร ผู้ที่เรียนจบยังสามารถทำงานได้ที่ร้านอาหารได้เลย  ปัจจุบัน อาหารของบาสก์มีชื่อเสียงโด่งดัง โดยเฉพาะเมนูยอดฮิตอย่าง พินโชส์ (Pintxos) หรือทาปาส (Tapas) และยังเป็นเมืองที่มีร้านอาหารที่ได้ดาวมิชลินต่อตารางเมตรมากที่สุดในโลกอีกด้วย

 

 
ต่อมาคือการเสริมพลังให้ภาคแรงงาน เพราะเมื่อเศรษฐกิจล่ม แน่นอนว่าเหล่าแรงงานต้องได้รับผลกระทบไปตามๆ กัน มีการก่อตั้ง Mondragon หรือสหพันธ์สหกรณ์คนทำงาน เพื่อส่งเสริมกลุ่มแรงงาน ปรับนโยบายความเท่าเทียมด้านรายได้ ขยายท่าเรือ สร้างรถไฟใต้ดิน ปรับปรุงถนน และทางรถไฟ สร้างท่าอากาศยานแห่งใหม่ เพื่อเชื่อมต่อกับภายนอก และดึงดูดการลงทุนในพื้นที่ อะไรเหล่านั้นส่งต่อให้เกิดการจ้างงานเพิ่มมากขึ้น รวมถึงยังให้ความสำคัญกับแรงงานผู้พิการ สร้างกระบวนการทำงานที่เอื้อกับพวกเขา จัดฝึกอบรมให้มีทักษะเป็นไปตามที่ตลาดต้องการ เพื่อแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำ นอกจากนี้ แคว้นบาสก์ยังส่งเสริมด้านการศึกษาอย่างจริงจัง เพื่อสร้างความรู้ และสร้างเสริมความแข็งแรงให้กับเยาวชน ยังมีวิธีการอื่นอีกหลากหลายข้อที่ดึงเอากระบวนการนวัตกรรมทางสังคมเข้ามาช่วยพัฒนาพื้นที่ซึ่งส่งผลให้ความขัดแย้งลดลงอย่างเห็นได้ชัด

 

 
แคว้นบาสก์แสดงให้เห็นแล้วว่า การจะสร้างสันติภาพและการพัฒนานั้น ไม่จำเป็นต้องรอให้ความขัดแย้งหมดไปเสียก่อน เพราะสามารถทำควบคู่ไปพร้อมกับการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำได้ รวมทั้งบาสก์ยังสร้างความเข้าใจให้ชาวเมืองมองเห็นภาพเดียวกัน เพื่อจับมือเดินไปยังจุดหมายอย่างมุ่งมั่น จนในที่สุดแคว้นบาสก์จึงเปลี่ยนจากภาพลักษณ์ลบเป็นบวก จนได้รับความสนใจจากนานาประเทศ

การใช้นวัตกรรมทางสังคมสร้างการเปลี่ยนแปลงไปพร้อมๆ กับแก้ไขปัญหาความขัดแย้งที่เรากล่าวไปข้างต้น ทำให้ทุกวันนี้ แคว้นบาสก์กลายเป็นผู้นำทั้งด้านสุขภาวะและการศึกษา ค่า GDP เพิ่มสูงขึ้น มีการส่งออกสินค้ามากถึง 75% และประชาชนชาวบาสก์ยังมีรายได้ต่อหัวสูงเป็นอันดับต้นๆ ในยุโรปอีกด้วย

Keywords: , , , ,
  • Published Date: 27/09/2019
  • by: UNDP

เราได้เรียนรู้อะไรบ้างจากกระบวนการสร้างแพลตฟอร์มนวัตกรรมทางสังคมใน 3 จังหวัดชายแดนใต้?

 
เมื่อได้ยินคำว่า ‘นวัตกรรม’ หรือโดยเฉพาะ ‘นวัตกรรมเพื่อสังคม’ หลายคนมักคิดว่าเป็นเรื่องของเทคโนโลยีใหม่ ๆ การบริการภาครัฐ หรือวิสาหกิจเพื่อสังคม แต่จริง ๆ แล้ว นวัตกรรมสังคม ไม่ได้มีข้อจำกัดอยู่เพียงเท่านั้น แต่หมายความกว้างไปถึงสิ่งใหม่ ๆ กระบวนการใหม่ ๆ วิธีการใหม่ ๆ ที่ต่างไปจากเดิม เพื่อหวังมุ่งสร้างการเปลี่ยนแปลงระบบสังคม (systemic change) ซึ่งแน่นอนว่ารวมถึงการเปลี่ยนแปลงในระดับโครงสร้างทางสังคมในพื้นที่ที่มีความขัดแย้งรุนแรงด้วย

สำหรับคนในพื้นที่ขัดแย้ง ‘นวัตกรรม’ หรือ ‘การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม’ อาจดูเป็นเรื่องไกลตัวและแยกส่วนจาก ‘การสร้างสันติภาพ’ แต่จากการศึกษาและถอดบทเรียนจากแคว้นบาสก์ของสถาบัน Agirre Lehendakaria Center for Social and Political Studies (ALC) ซึ่งนำโดย Gorka Espiau พบว่าประเด็นการจัดการความขัดแย้ง การสร้างสันติภาพ สิทธิมนุษยชน และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ล้วนมีความเกี่ยวเนื่องกัน การใช้นวัตกรรมสังคม หรือการสร้างพื้นที่กลาง (Platform) นวัตกรรมสังคมในพื้นที่ขัดแย้งสามารถช่วยพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นกระบวนการที่นำไปสู่การเกิด ‘สันติภาพ’ ได้ เพราะสันติภาพไม่ได้หมายเพียงถึงสถานการณ์ที่ปราศจากความรุนแรง แต่มีความหมายกว้างขวางครอบคลุมถึงความมั่นคงของมนุษย์ในทุกมิติ รวมถึงมิติด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมด้วย หรือรวมเรียกว่าเป็น “สันติภาพที่ยั่งยืน หรือ Sustainable Peace”  

 

 
UNDP ได้มีโอกาสร่วมทำงานกับ Gorka Espiau และ Iziar Moreno ผู้เชี่ยวชาญด้านนวัตกรรมสังคมจากแคว้นบาสก์ ในการแนะนำกระบวนการทำงานของนวัตกรรมสังคมให้กับจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ยะลา-ปัตตานี-นราธิวาส)  และออกแบบแพลตฟอร์มนวัตกรรมสังคมร่วมกันกับคนในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคประชาสังคม มหาวิทยาลัย และสตาร์ทอัพ โดยการเดินทางไปยังภาคใต้ของเราในครั้งนี้เริ่มต้นมาจากความอยากรู้และอยากทดลองว่าแพลตฟอร์มนวัตกรรมสังคมจะสามารถกลายเป็นพื้นที่ในการกระตุ้นให้เกิดความคิดริเริ่มใหม่ ๆ ในพื้นที่ที่กำลังเผชิญกับปัญหาจากสถานการณ์ต่าง ๆ ได้จริงหรือไม่ และมันจะสามารถเชื่อมโยงประเด็นการพัฒนาในหลายๆ มิติเข้าด้วยกันได้อย่างไร

 

เกิดอะไรขึ้นบ้างในเวิร์กชอป

 

1. แลกเปลี่ยนประสบการณ์จากแคว้นบาสก์

Gorka ได้วิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมในแคว้นบาสก์ พื้นที่ที่เคยมีความขัดแย้งทางสังคมและการเมืองอย่างรุนแรงจนส่งผลให้เศรษฐกิจของ แคว้นล่มสลาย หากในปัจจุบันบาสก์กลับมี GDP ต่อหัวสูงเป็นอันดับต้น ๆ ในยุโรปและเป็นยังผู้นำเรื่องด้านศึกษาอีกด้วย ความสำเร็จด้านการพัฒนาของแคว้นบาสก์นี้ได้รับขนานนามว่าคือ Basque Transformation หรือการแปรเปลี่ยนแคว้นบาสก์ให้กลายเป็นเมืองแห่งการพัฒนา

การเรียนรู้จากแคว้นบาสก์สามารถสรุปได้อย่างคร่าว ๆ ว่า การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากการที่ประชาชนในบาสก์มี ‘เป้าหมายร่วมกัน’ คือปรารถนาจะลบภาพ ‘สัญลักษณ์ของความขัดแย้ง’ ออกจากความเป็นแคว้นบาสก์ และต่างเชื่อว่า ‘การเปลี่ยนแปลงเป็นไปได้’ ทำให้เรื่องที่ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวข้องกัน อย่างการเชิญ Frank Gehry มาสร้าง Gugenheim Bilbao ให้เป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนแปลง การก่อตั้งสหกรณ์คนทำงานอย่าง Mondragon หรือที่กลุ่มเชฟในพื้นที่ดึงเอาอาหารและวัตถุดิบพื้นเมืองมาประยุกต์ในสไตล์โมเดิร์น ฝรั่งเศส จนได้รับการยอมรับจากมิชลิน  และกิจกรรมอื่น ๆ อีกมากมาย กลายเป็นฟันเฟืองที่เชื่อมโยงกันและส่งผลให้สภาพเศรษฐกิจและสังคมของแคว้นพัฒนาอย่างรุดหน้า จนฝ่ายกองกำลังสู้รบ  Euskadi ta Askatasuna หรือ ETA ตัดสินใจวางอาวุธ นำไปสู่สันติภาพในท้ายที่สุด

สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถติดตามการสร้างแพลตฟอร์มนวัตกรรมสังคมในพื้นที่ขัดแย้ง การถอดบทเรียนจากแคว้นบาสก์อย่างละเอียดได้ในบทความของเราต่อไป  

 

 

2. ลองเชื่อมโยงสิ่งใหม่ ๆ’ ที่เราได้ทำในพื้นที่

ผู้เข้าร่วมได้ลองช่วยกันคิดว่ากิจกรรม โครงการ กระบวนการที่เราเคยได้เพื่อพัฒนาพื้นที่ของตัวเองมีอะไรบ้าง โดยมีการคิดอย่างครอบคลุม 5 ระดับ

    1. กิจกรรมชุมชน (community actions) เช่น การนั่งหารือกันในมัสยิด จนได้ข้อสรุปเป็นการรับบริจาคขยะ แทนการรับบริจาคเงิน และนำไปขายเพื่อหาทุนช่วยเหลือเด็กกำพร้า

    2. วิสาหกิจขนาดเล็กกลาง (small-medium scale entrepreneurship) เช่น การก่อตั้ง Fiin Delivery บริการส่งอาหารในพื้นที่

    3. วิสาหกิจขนาดใหญ่ที่เป็นความร่วมมือระหว่างรัฐเอกชน (large scale public-private partnership) เช่น ความร่วมมือระหว่างรัฐและเอกชนในการจัดการทรัพยากรน้ำ

    4. การบริการสาธารณะ (public service) เช่น การจัดรถพยาบาลในหมู่บ้านเพื่อรับ-ส่งผู้ป่วยไปโรงพยาบาลตลอด 24 ชั่วโมง

    5. กฎระเบียบใหม่ ๆ  (new regulation) เช่น กฎฌาปนกิจที่เป็นข้อตกลงในหมู่บ้านเรื่องการขอความร่วมมือทุกคนร่วมช่วยเหลือการจัดงานศพเมื่อมีคนเสียชีวิต

การได้คิดอย่างเป็นระดับนี้ทำให้ผู้เข้าร่วมเริ่มเห็นความเชื่อมโยงของเรื่องราวและเริ่มที่จะมีภาพที่เห็นร่วมกันว่าแท้จริงแล้วนวัตกรรมไม่ใช่สิ่งที่ไกลตัวพวกเขา หากแต่เป็นสิ่งที่อาจทำอยู่แล้วในชุมชน

 

“การพัฒนาอย่างยื่งยืนในพื้นที่ขัดแย้งมันเกี่ยวข้องกับวิธีที่เราเชื่อมโยงสิ่งที่เกิดขึ้นในพื้นที่ซึ่งอาจถูกซ้อนเร้นโดยความขัดแย้งและความรุนแรง และวิธีการที่เราจะคิดขึ้นมาเป็นทางเลือกในการสร้างการเปลี่ยนแปลง

 

3. เรียนรู้ที่จะรู้จัก ฟัง’ 

กระบวนการแรกที่มีความสำคัญในการสร้างการเปลี่ยนแปลงคือ “กระบวนการรับฟัง”

เราต้อง ‘ฟัง’ ในสิ่งที่อาจไม่ถูกพูดออกมาเพื่อค้นหาสาเหตุของการกระทำ ความเชื่อ และคุณค่าเบื้องหลัง และเชื่อมโยงให้เห็นความเกี่ยวข้องกัน (collective sensemaking) ที่สำคัญคือการค้นหาว่าคนในชุมชนเชื่อในการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ เพราะความเชื่อนี้สามารถส่งผลกระทบโดยตรงต่อการพัฒนาได้ เช่น บางชุมชนที่แม้อาจได้รับการสนับสนุนมากมายจากรัฐ แต่คนในชุมชนไม่เชื่อในการเปลี่ยนแปลงเลยเพราะได้ถูกสั่งสอนมาว่าจะประสบความสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อได้ออกไปทำงานที่เมืองหลวงเท่านั้น ในทางกลับกัน หากชุมชนใดมีความเชื่อว่าความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้ ก็จะแสวงหาโอกาสจากต้นทุนที่มี เช่นอาจให้มีคนมาเปิดกิจการเล็ก ๆ ในพื้นที่และเริ่มหาโอกาสแก้ไขปัญหาการว่างงาน เป็นต้น

ผู้เข้าร่วมได้เรียนรู้ความสำคัญของการรับฟังนี้ พร้อมคิดทบทวนว่าประเด็นใดบ้างที่เป็นความท้าทายและโอกาสในพื้นที่ และเชื่อมโยงประเด็นเหล่านั้นด้วยกัน

 

4. Co-creation ร่วมคิด ร่วมออกแบบ ร่วมทำ

ผู้เข้าร่วมได้มีโอกาสทดลองออกแบบและคิดไอเดียนวัตกรรมสังคมร่วมกัน เพื่อนำไปลงมือทดลอง (prototype) ต่อไป

กระบวนการสร้างการมีส่วนร่วมในทุกภาคส่วนนี้คือกระบวนการสำคัญที่ทำให้คนเกิดความรู้สึกมีส่วนร่วมและรู้สึกเป็นเจ้าของ สิ่งสำคัญของการ co-create คือต้องมีคนจากทั้ง 5 ระดับที่กล่าวไปข้างต้นเข้าร่วมด้วย เพื่อให้มั่นใจว่าสิ่งที่ทำจะสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างหรือระบบได้จริง

ตัวอย่างไอเดียและเรื่องราวน่าสนใจจากคนในพื้นที่

    • การเกษตร อาหาร และการท่องเที่ยว เป็นประเด็นโอกาสที่ผู้เข้าร่วมหลายคนเห็นพ้องต้องกันในการต่อยอดการพัฒนา ทุกคนมีความภาคภูมิใจในเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมและทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่ของตน แต่ยังไม่สามารถใช้ทรัพยากรเหล่านี้ได้อย่างเต็มที่ เนื่องจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ภาพลักษณ์ของพื้นที่ไม่ดี ส่งผลให้นักท่องเที่ยว นักธุรกิจเกิดความกลัวที่จะเข้ามา ในขณะเดียวกันสามจังหวัดเองก็มีคนที่มีความสามารถหรือกิจกรรมน่าสนใจจำนวนมากแต่กลับ ไม่ได้รับการนำเสนอออกไปในสื่อเท่ากับภาพความรุนแรง

    • ผู้เข้าร่วมเห็นโอกาสในการส่งเสริมการส่งออกผลไม้สดและผลไม้แปรรูป เช่น ลองกอง ทุเรียน ไปจังหวัดหรือประเทศข้างเคียง ในจังหวัดนราธิวาส ประชาชนมีรายได้หลักจากการกรีดยาง ซึ่งทางการพยายามส่งเสริมให้คนปลูกพืชผักผลไม้อื่นเพื่อให้มีแหล่งรายได้เพิ่มเติม หากแต่การกรีดยางถูกมองว่าเป็นวิถีชีวิตที่ได้รับมาจากบรรพบุรุษ ซึ่งคนในท่องถิ่นก็ยังคงอยากรักษาความรู้และวัฒนธรรมนี้ไว้ จะทำอย่างไรให้เกิดความสมดุลระหว่างการธำรงไว้ซึ่งอัตลักษณ์และการสร้างโอกาสใหม่ๆ ทางเศรษฐกิจ และให้การแก้ปัญหาของภาครัฐตอบโจทย์ความต้องการของคนในชุมชนอย่างแท้จริง?

    • ผู้เข้าร่วมเห็นความเป็นไปได้ในการสร้างความร่วมมือกับชุมชนอื่น ๆ ในพื้นที่เช่นการทำเส้นทางการท่องเที่ยวของจังหวัดให้ต่อเนื่องกัน และมุ่งเน้นการท่องเที่ยวในแบบที่ชุมชนจะได้รับผลประโยชน์ร่วมด้วย

    • ในบางพื้นที่ สถานการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ผู้คนท้อแท้และสิ้นหวัง ทำให้ยากที่จะจัดกิจกรรมสร้างสรรค์ใด ๆ นักกิจกรรมสังคมหลายคนก็หยุดการเคลื่อนไหวการทำงานพัฒนาต่าง ๆ มีการเสนอแนวคิดการตั้ง PeaceLab ขึ้นในพื้นที่ และปรับใช้เทคโนโลยีและสื่อเพื่อสนับสนุนการเรียนรู้ด้านสิทธิมนุษยชนและสันติภาพ

 

เครื่องมือสำหรับกระบวนการสร้างแพลตฟอร์มนวัตกรรมสังคม (Tools used for building social innovation platform)

 

 

3 สิ่งที่เราได้เรียนรู้จากกระบวนการสร้างแพลตฟอร์มนวัตกรรมทางสังคมในพื้นที่ขัดแย้ง

 

1. การฟังและสะท้อนเพื่อการเปลี่ยนแปลง

สิ่งที่สำคัญที่สุดในกระบวนการนี้คือการที่เราได้ฟังบุคคลจาก “ทุกภาคส่วน” และจะดียิ่งขึ้นไปอีก ถ้าเราสามารถฟังบุคคลที่มาจากต่างพื้นฐาน ต่างประสบการณ์ ต่างอาชีพ แต่อาศัยอยู่ในเมืองเดียวกัน มาพูดถึงเมืองของเราผ่านคนละมุมมอง ซึ่งเวิร์กชอปในครั้งนี้ เราก็มีผู้เข้าร่วมมาจากหลากหลายกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็น ผู้นำชุมชน กลุ่มธุรกิจ Startup และภาคประชาสังคม

เริ่มจากคำถามที่ว่า “หากเราจะอธิบายจังหวัดปัตตานี/ยะลา/นราธิวาส ให้กับคนที่ไม่รู้จักฟัง เราจะเล่าถึงจังหวัดเราว่าอย่างไร?” คำตอบของแต่ละคนก็สะท้อนให้เราเห็นถึงความรุ่มรวยทางวัฒนธรรมและทรัพยากรในพื้นที่

เราได้รับฟังเรื่องราวของสามจังหวัดชายแดนภาคใต้จากมุมมองที่ต่างกัน และในความต่างนี้เอง เรากลับพบความเชื่อมโยงกันอย่างน่าสนใจ นั่นคือ พวกเขารู้สึกเชื่อมโยงกันด้วยความภาคภูมิใจในอัตลักษณ์ที่หลากหลายของพื้นที่ ทั้งมุสลิม พุทธ จีน และเขารู้สึกว่าแม้จะมีความหลากหลายทางวัฒนธรรมและความเชื่อ แต่ยังอยู่ร่วมกันและแบ่งปันทรัพยากรจากพื้นที่เดียวกันได้ เป็นสเน่ห์ของคนสามจังหวัด ดังที่สะท้อนได้จากคำพูดหนึ่งของบทสนทนาที่ทำให้เราเห็นภาพได้ชัดคือ “กิจศาสนาเราแยกกันทำ กิจสังคมเรามาร่วมกัน”

 

 
หลังจากนั้น ได้มีการตั้งคำถามที่เข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ อย่าง “คุณคิดว่ามีปัญหาอะไรในพื้นที่ ที่คนในจังหวัด ไม่เคยพูดถึง แต่รู้สึกว่ามันมีอยู่” บทสนทนาที่เกิดขึ้น ทำให้เราไม่ได้มองเห็นภาพของสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เพียงแค่ผิวเผินตามภาพจำที่มีแต่ความรุนแรง กลับทำให้เราได้เห็นภาพความเชื่อมโยงทางมิติเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และการร้อยเรียงของปัญหาตั้งแต่ต้นตอจนถึงปลายทาง

จากการสังเกตบรรยากาศในวงสนทนา เราพบว่าการมีพื้นที่รับฟัง ให้แต่ละคนได้เล่าถึงความรู้สึกนึกคิด และประสบการณ์ของตัวเองในจังหวัด ทำให้ผู้เข้าร่วมรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งกับกระบวนการ และก้าวข้ามการด่วนตัดสินและสรุปวิธีการแก้ปัญหาโดยทันที เปรียบเสมือนเป็นการเชื้อเชิญให้ผู้เข้าร่วมได้เห็นความเชื่อมโยงของปัญหาผ่านเรื่องราวต่าง ๆ  โดยสิ่งสำคัญสำหรับกระบวนกรคือต้องวางใจเป็นกลาง เปิดพื้นที่ให้เป็นภาชนะว่าง ๆ ที่รองรับเรื่องเล่าต่าง ๆ โดยไม่สรุปและตัดสิน

นอกจากนี้ กระบวนการสะท้อนหลังจากฟังเรื่องเล่าต่าง ๆ และนำมาเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกัน (collective sensemaking) ผ่านแผนภาพ ก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน จุดประสงค์ในการทำขั้นตอนนี้ ไม่ใช่การเร่งรัดสรุปปัญหา แต่เป็นกระบวนการที่ทำให้ผู้ฟังได้เห็นภาพสะท้อนความเชื่อมโยงของสิ่งที่ตัวเองเล่ามา โดยกระบวนกรไม่จำเป็นต้องกังวลว่าลูกศรที่ลากเชื่อมเรื่องราวในแผนภาพจะถูกหรือไม่ เพราะถึงแม้จะมีส่วนที่ผิด มันก็จะกลายเป็นพื้นที่ให้ผู้เข้าร่วมได้แก้ไขให้ถูกต้อง กระบวนการทำและแก้ไขแผนภาพนี้เป็นกระบวนการร่วม คือผู้เล่าทุกคนทำร่วมกัน เพื่อให้เรื่องเล่าของทุกคนมาอยู่ในภาพเดียวกันได้

 

 

2. จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงเกิดจากความเชื่อร่วมกันว่า “การเปลี่ยนแปลงเป็นไปได้”

กระบวนการรับฟังไม่ควรเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว แต่ควรเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นซ้ำไปซ้ำมา ให้เราทำความเข้าใจแล้ว ทำความเข้าใจอีก ซึ่งจะนำไปสู่การมีความเข้าใจที่ลึกซึ้งขึ้น สิ่งที่สำคัญที่สุดที่เราจะต้องจับใจความให้ได้ก่อนเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงคือ ต้องตอบให้ได้ว่า “คนในพื้นที่เชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงเป็นไปได้หรือไม่” 

คำถามนี้ดูเป็นคำถามที่ง่าย แต่การแน่ใจว่าคำตอบที่ออกมาเป็นคำตอบที่ “จริงแท้” จากใจผู้เข้าร่วมนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ง่ายเลย เพราะในพื้นที่ที่เผชิญกับความขัดแย้งและความรุนแรงอยู่ทุกวัน ผู้คนมักถูกบั่นทอนความเชื่อมั่นในการเปลี่ยนแปลง การพัฒนา และการใช้ชีวิตในเชิงบวกไปมากโขอยู่เหมือนกัน คำตอบแรกของเขาอาจจะเป็นคำว่า “ใช่ เราเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงเป็นไปได้” แต่อาจจะตามมาด้วยเงื่อนไขต่าง ๆ ซึ่งนั่นก็แสดงถึงความไม่มั่นใจต่อความเป็นไปได้ว่าจะก้าวข้ามเงื่อนไขเหล่านั้นได้หรือไม่

 

 
“แล้วถ้าคนในพื้นที่ไม่เชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงเป็นไปได้ล่ะ เราจะทำอย่างไร?”  การหันไปโฟกัสการสร้างการเปลี่ยนแปลงขนาดเล็กอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี เพื่อทำให้เห็นเป็นรูปธรรมว่าการเปลี่ยนแปลงนั้น ‘เป็นไปได้’ (หรือแสดงให้เห็นว่าจริง ๆ แล้วพวกเขาก็กำลังทำมันอยู่) คำถามนี้จึงเป็นคำถามที่สำคัญในการประเมินพื้นที่ กับท่าทีการไปต่อ ทำให้เราส่งเสริมการพัฒนาอย่างไม่ข้ามขั้น และค่อย ๆ ทำมันอย่างยั่งยืน

การเปลี่ยนแปลงแบบ “Transformative Change” จะเกิดขึ้นได้ จากความเชื่อว่า ‘การเปลี่ยนแปลงเป็นไปได้’ ของคนในพื้นที่ และความเชื่อนั้นจะทำให้เกิดการขับเคลื่อนเล็ก ๆ ในระดับปัจเจกบุคคล แต่จะส่งผลต่อระดับองค์กร และระดับพื้นที่ต่อไป การหมั่นตรวจสอบความเชื่อมั่นต่อการเปลี่ยนแปลงของผู้เข้าร่วมจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก ก่อนจะข้ามไปสู่ขั้นตอน “Co-creation” เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลง

 

 

3. การเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนต้องมาจากคนในพื้นที่ 

ในสามวันนี้ หลังจากที่เราได้ลองทำกระบวนการตั้งแต่ Listening-Co-creation-Prototype ทำให้เราได้เห็นความเชื่อมโยงของปัญหาและโอกาสในพื้นที่ เราได้สิ่งที่น่าสนใจที่น่าต่อยอดในการสร้างนวัตกรรมทางสังคมในพื้นที่ เช่น เรื่องอาหาร และวัฒนธรรม อย่างที่กล่าวไปข้างต้น อย่างไรก็ตาม การไปต่อในขั้นต่อไป ในฐานะกระบวนกร เราอาจจะต้องก้าวถอยหลังมาหนึ่งก้าว เพื่อเปิดพื้นที่ให้คนในพื้นที่ได้ตีความและสรุปด้วยความเข้าใจของเขาเอง

ถึงแม้ว่าในฐานะกระบวนกร เราอาจจะมีความคุ้นเคยกับเครื่องมือมากกว่า การตีความอาจจะง่ายกว่ามากหากกระบวนกรเป็นผู้สรุปความเชื่อมโยง ปัญหา โอกาส ความเป็นไปได้ และชี้นำทิศทางที่ผู้เข้าร่วมควรทำ แต่การสรุปแบบนั้นอาจจะทำให้เกิดการบิดเบือนความจริง เนื่องจากเป็นการตีความและสรุปให้ความหมายโดยคนนอกพื้นที่

 

 
ในกระบวนการสร้าง “Transformative Change” การขับเคลื่อนโดยคนในพื้นที่และตีความร่วมกันของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเป็นสิ่งที่สำคัญมาก และแน่นอนว่ามีความซับซ้อนกว่ามาก ดังนั้น เราจึงจำเป็นต้องออกจากความคุ้นชินในการเร่งตัดสิน เร่งด่วนสรุป และเปิดพื้นที่ในการตีความร่วมกันให้ได้มากที่สุด

แน่นอนว่าใน 3 วันนี้ คนในพื้นที่อาจจะยังไม่สามารถตีความ เชื่อมโยงและสรุปร่วมกันได้ในทันที แต่มันก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการสร้างกระบวนการเรียนรู้ให้กับคนในพื้นที่ ให้เริ่มรู้จักวิธีการและเครื่องมือใหม่ ๆ ที่จะมาใช้ในกระบวนการสันติภาพ และเราเชื่อว่ากระบวนการนี้จะนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ได้ เช่นเดียวกับที่สุดท้ายแก่นสำคัญของเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) นั้นไม่ใช่เพียงการทำงานเพื่อตอบโจทย์เป้าหมาย 17 ข้อเพียงย่างเดียว แต่ คือการพัฒนาโดย “ไม่ทิ้งใครไว้เบื้องหลัง” ซึ่งเกิดจากการมีส่วนร่วมของคนทุกภาคส่วน แน่นอนว่ากระบวนการเหล่านี้อาจจะใช้เวลามากกว่าเดิม ซับซ้อนยิ่งกว่าเดิม แต่ก็จะทำให้กระบวนการที่เกิดขึ้นนำไปสู่การพัฒนาพื้นที่และการสร้างสันติภาพอย่างยั่งยืน

 

นวัตกรรมเพื่อสังคมควรเป็นตัวกลางที่นำผู้คนมารวมกันเพื่อให้เกิดเป้าหมายและภารกิจร่วมกันในการขับเคลื่อนการพัฒนา ในฐานะชุมชนท้องถิ่น เราจำเป็นต้องเข้าใจปัญหาที่เรากำลังเผชิญและเชื่อมโยงมันกับโอกาสและแนวคิดใหม่ ๆ 

 

แผนภาพสรุปความเชื่อมโยงจากเวิร์กชอป (Mapping of the output from workshop)

 

 
ที่สำคัญที่สุด การเวิร์กชอปเพื่อร่วมสร้างแพลตฟอร์มนวัตกรรมสังคมในสามจังหวัดครั้งนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าขาดความร่วมมือจากผู้เข้าร่วมทุกคน ขอยกย่องความดีความชอบให้ตัวแทนเจ้าหน้าที่จาก

จังหวัดปัตตานี : ตำบลท่าน้ำ ตำบลบ้านนอก ตำบลน้ำบ่อ ตำบลเตราะบอน
จังหวัดยะลา : ตำบลลำใหม่ ตำบลบ้านแหร ตำบลบันนังสตา
จังหวัดนราธิวาส : ตำบลแว้ง ตำบลช้างเผือก

รวมทั้งตัวแทนสตาร์ทอัพ ภาคประชาสังคมและมหาวิทยาลัยจากทุกจังหวัด

    • CHABA Startup Group
    • Sri Yala MyHome
    • PNYLink
    • Digital4Peace
    • Saiburi Looker
    • HiGoat Company
    • MAC Pattani
    • MAC Yala
    • MAC Narathiwat
    • Hilal Ahmed Foundation
    • CSO Council of Yala
    • มูลนิธินูซันตารา
    • มหาวิทยาลัยทักษิน
    • สถาบันสันติศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์

Keywords: , , , , ,
  • Published Date: 20/09/2019
  • by: UNDP

การสร้างแพลตฟอร์มนวัตกรรมสังคมในพื้นที่ขัดแย้ง: กรณีศึกษาจากแคว้นบาสก์

 

เราสามารถสร้างนวัตกรรมสังคมในพื้นที่ที่มีความขัดแย้งได้อย่างไร?

มันสามารถช่วยพัฒนาสังคม เศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิตของคนได้จริงหรือ?

 

พบคำตอบได้ในงานนี้!

 

Thailand Social Innovaation Platform ภายใต้โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) ขอเชิญชวนผู้ที่สนใจเข้าร่วมรับฟังการบรรยายพิเศษในหัวข้อ

การสร้างแพลตฟอร์มนวัตกรรมสังคมในพื้นที่ขัดแย้ง: กรณีศึกษาจากแคว้นบาสก์โดย Gorka Espiau ผู้เชี่ยวชาญด้านนวัตกรรมสังคมการจัดการความขัดแย้งและการพัฒนามนุษย์อย่างยั่งยืน

Gorka Espiau นักวิชาการอาวุโสจาก ศูนย์การศึกษาสังคมและการเมือง The Agirre Lehendakaria Center (ALC ) จะมาร่วมแบ่งปันประสบการณ์การสร้างแพลตฟอร์มนวัตกรรมสังคมในแคว้นบาสก์  ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่เคยมีความขัดแย้งด้านสังคมและการเมืองอย่างรุนแรงจนส่งผลให้เศรษฐกิจของแคว้นล่มสลาย อัตราการว่างงานในยุโรปตอนใต้สูงเป็นประวัติการณ์ หากในปัจจุบัน บาสก์กลับกลายเป็นผู้นำทั้งด้านด้านสุขภาวะและการศึกษา นอกจากนี้ประชาชนชาวบาสก์ยังมีรายได้ต่อหัวสูงเป็นอันดับต้นๆ ในยุโรป

การบรรยายจัดขึ้นในวันที่ 20 กันยายน 2562 เวลา 10.00-12.00 น ณ ห้องออดิทอเรียม ชั้น 2 TCDC กรุงเทพฯ

 

ลงทะเบียนได้ที่ http://bit.ly/2m5hiQZ

ฟรี! ไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ

ที่นั่งมีจำนวนจำกัด

*การบรรยายเป็นภาษาอังกฤษ พร้อมล่ามแปลภาษาไทยตลอดงาน

Keywords: , , , ,
  • Published Date: 20/08/2019
  • by: UNDP

‘Cure Violence’ เมื่อความรุนแรงติดต่อเหมือนโรคระบาด

 

ในยุคที่โลกก้าวสู่ความศิวิไลซ์เทคโนโลยีพัฒนาล้ำหน้า แต่กลับกันเรายังคงเห็นข่าวเกี่ยวกับความรุนแรงเกิดขึ้นทุกวันไม่ว่ามุมไหนของโลก โดยเฉพาะอเมริกาที่เกิดโศกนาฏกรรมกราดยิงในพื้นที่สาธารณะซ้ำแล้วซ้ำเล่า ล่าสุดเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา เกิดเหตุกราดยิงที่รัฐโอไฮโอและรัฐเท็กซัสในเวลาห่างกันเพียง 14 ชั่วโมง

แล้วเราจะป้องกันเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ให้เกิดขึ้นอีกอย่างไร?

‘Dr. Gary Slutkin’ นักระบาดวิทยา ผู้ก่อตั้งองค์กร ‘Cure Violence’ กล่าวว่า “การกราดยิงเป็นเหมือนโรคติดต่อที่แพร่กระจายได้ง่าย” เขาเคยเดินทางไปทำงานให้กับองค์การอนามัยโลก (WHO) ในการต่อสู้กับการระบาดอย่าง วัณโรค อหิวาตก และโรคเอดส์ ทั้งในเอเชียและแอฟริกามานานกว่า 10 ปี หลังจากที่กลับมายังอเมริกา เขาไม่พบการเกิดโรคระบาดเหล่านี้ แต่กลับรับรู้ถึงปัญหาความรุนแรงที่ระบาดเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะโศกนาฏกรรมในโรงเรียน การแก้ปัญหาโดยทั่วไปคงเป็นบทลงโทษ ซึ่งอาจไม่ช่วยเปลี่ยนพฤติกรรม หรืออีกแนวทางคือต้องแก้ปัญหาที่ต้นตอ ตั้งแต่ปัญหาในโรงเรียน ความยากจน ครอบครัวแตกแยก ยาเสพติด ไปจนถึงการเหยียดสีผิว ซึ่งยากที่จะทำได้สำเร็จในคราวเดียว

เขาตระหนักว่า สถิติความรุนแรงที่เกิดขึ้นนั้น คล้ายกับการแพร่กระจายของโรคระบาด กล่าวคือความรุนแรงติดต่อจากเคสหนึ่งไปสู่อีกเคสหนึ่ง เขาจึงมองว่าการลดปัญหาความรุนแรง น่าจะมีทางออกเช่นเดียวกับการยับยั้งโรคระบาด โดยสรุปได้ 3 สิ่งที่ต้องทำ ได้แก่

1. ยับยั้งการส่งต่อ (Interrupting transmission) เริ่มจากสืบหาความรุนแรงที่เกิดขึ้นเป็นเคสแรก เช่นเดียวกับกรณีของวัณโรคที่ต้องหาผู้ป่วยที่แสดงอาการและแพร่เชื้อสู่คนอื่น

2. ป้องกันการแพร่กระจายในอนาคต (Prevent future spread) ค้นหาว่ามีใครบ้างที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง

3. เปลี่ยนบรรทัดฐานของกลุ่ม (Change group norms) ด้วยกิจกรรมชุมชนและปรับปรุงการศึกษา ซึ่งจะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันในชุมชน

เริ่มต้นจากทดลองจ้างคนมาทำงานเป็นผู้ยับยั้งความรุนแรงในชุมชน (Violence interrupters) โดยจ้างคนในชุมชนหรือคนในกลุ่มแก๊งมาเป็นฮีโร่ เพื่อสร้างความเชื่อถือ ความไว้เนื้อเชื่อใจ และความเข้าถึงได้ โดยเทรนให้เข้าใจหลักการโน้มน้าวและการทำให้คนใจเย็นลง ส่วนคนอีกกลุ่มมีหน้าที่ดูแลคนในกลุ่มที่มีความรุนแรงให้อยู่ในระยะการบำบัดตั้งแต่ 6 – 24 เดือน โดยมีเป้าหมายเพื่อเปลี่ยนพฤติกรรม และสร้างเสริมกิจกรรมชุมชนเพื่อเปลี่ยนบรรทัดฐานของคนในชุมชน

‘Cure Violence’ เริ่มขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ. 2000 ที่ย่าน West Garfield Park หนึ่งในชุมชนที่มีความรุนแรงที่สุดของชิคาโก ซึ่งในปีแรกสามารถลดการเกิดเหตุกราดยิงได้ถึง 67% หลังจากนั้น จึงขยายโมเดลนี้ออกไปยังเมืองอื่นๆ ทั่วอเมริกา ปัจจุบัน มีมากกว่า 50 ชุมชนในอเมริกาที่ใช้แนวทางลดความรุนแรงนี้ นอกจากนี้ยังได้จัดอบรมเทคนิคการป้องกันความรุนแรงให้กับผู้แทนในประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะในแถบสหรัฐอเมริกา ละตินอเมริกา ตะวันออกกลาง และแอฟริกา ซึ่งส่วนใหญ่สามารถลดความรุนแรงได้มากถึง 40-70% ตั้งแต่ปีแรก ถือเป็นแนวทางที่ช่วยป้องกันเหตุการณ์น่าเศร้าที่จะเกิดขึ้นเมื่อไรก็ได้โดยไม่มีใครคาดคิด

 

ที่มา:

1. http://cureviolence.org/

2. https://www.ted.com/talks/gary_slutkin_let_s_treat_violence_like_a_contagious_disease#t-665523

 

Keywords: , , , , , , ,
  • Published Date: 08/08/2019
  • by: UNDP

เพราะ ‘พวกเขา’ และ ‘พวกเรา’ คือ ‘พวกเดียวกัน’

หลายคนอาจมองว่า ทุกวันนี้สงครามเกิดขึ้นน้อยลง แต่รู้หรือไม่ ช่วงระยะเวลาสิบปีที่ผ่านมา ‘ความขัดแย้ง’ ภายในกลับเพิ่มขึ้นอยู่เรื่อย ๆ ทั้งในระดับประเทศ สังคม องค์กร ไปจนถึงระดับบุคคล สร้างความสูญเสียอย่างนับไม่ถ้วน

ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2016 หลายประเทศต้องตกอยู่ท่ามกลางปัญหาความขัดแย้งรุนแรงที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในรอบ 30 ปี จำนวนผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า นั่นคือจุดสำคัญที่เหล่ามนุษยชาติต้องหันมาทำความเข้าใจความขัดแย้ง ตั้งแต่ต้นตอการเกิดขึ้น การเพิ่มขึ้นของปัญหา การเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ความต่อเนื่องของความขัดแย้ง และร่วมกันหาหนทางป้องกันความขัดแย้งอย่างยั่งยืน

 

‘พวกเรา’ กับ ‘พวกเขา’ เส้นแบ่งสร้างความขัดแย้ง

 หลายคนอาจคิดว่า ต้องถืออาวุธ หรือใช้ความรุนแรง ถึงจะเรียกสถานการณ์นั้น ๆ ว่าความขัดแย้ง แต่ในความจริงแล้ว ความขัดแย้งเกิดขึ้นได้อย่างง่ายดาย เพียงแค่คำว่า ‘พวกเรา’ และ ‘พวกเขา’ คำจำกัดความสองคำสั้น ๆ ก็สามารถสร้างเส้นแบ่งพรรคแบ่งฝ่ายจนกลายเป็นต้นตอแห่งความขัดแย้ง

เราและเขาขัดแย้งกันด้วยอะไร ?

ชาติพันธุ์และสีผิว – คำสองคำนี้เกี่ยวข้องกันอย่างแยกไม่ได้ เพราะหลักการในการแบ่งมนุษยชาติ ได้อิงตามลักษณะธรรมชาติที่สามารถมองเห็นได้ชัด นั่นก็คือ ‘สีผิว’ จากการประชุมขององค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมของสหประชาชาติ ร่วมกับนักมานุษยวิทยากายภาพที่กรุงปารีส ในเดือนมิถุนายน ค.ศ.1951 สรุปออกมาได้ว่า กลุ่มชาติพันธุ์ของมนุษย์ในโลกสามารถแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ได้แก่ 1.จำพวกผิวขาว (Caucacoid) 2.จำพวกผิวเหลือง (Mongoloid) และ 3.จำพวกผิวดำ (Negroid) คำถามก็คือ เราควรเห็นด้วยกับข้อสรุปนี้หรือไม่?

ศาสนา – 4,200 คือตัวเลขของจำนวนศาสนาที่คนทั่วโลกเลือกนับถือและศรัทธาตามความเชื่อของตนเอง ตัวอย่างที่เห็นชัดคือ ‘สงครามครูเสด’ ความขัดแย้งระหว่างศาสนาคริสต์และอิสลามในยุโรปเพื่อแย่งชิงดินแดนเมืองเยรูซาเลม ซึ่งเกิดขึ้นถึง 8 ครั้ง กินเวลายาวนานถึง 200 ปี คร่าชีวิตผู้คนไปกว่า 7,000,000 คน และทรัพย์สินอีกมากมายมหาศาล ทุกวันนี้หลาย ๆ เหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นบนโลก ยังนำประเด็นทางศาสนามาเป็น ‘เครื่องมือ’ ในการสร้างความรุนแรงและการแบ่งแยก

ภาษา – ตามหลักเกณฑ์ขององค์การสหประชาชาติ โลกของเราถูกรวมไปด้วยกว่า 195 ประเทศ มีภาษาพูดประมาณ 6,500 ภาษา และมีอีกเกือบ 2,000 ภาษาที่กำลังจะสูญหายไป ภาษาที่ใช้พูด ใช้เขียนกันอยู่ทุกวันนี้ ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ใช้แบ่งพรรคแบ่งพวกจนลุกลามไปถึงความขัดแย้ง ในชีวิตประจำวันเราอาจมองเห็นความขัดแย้งนี้ผ่านการดูถูกสำเนียงภาษาของคนอื่น เหยียดกันเพียงเพราะพูดไม่ชัด หรือแม้แต่เหยียดกันเพียงเพราะสำเนียงไม่เหมือนกัน

นอกจากนี้ ยังมีเรื่องทัศนคติ ความเชื่อ เพศ ไปจนถีงความไม่เสมอภาคในการเข้าถึงโอกาสด้านต่าง ๆ ที่ยังนับเป็นตัวเลขไม่ได้

รู้หรือไม่? องค์การสหประชาชาติยังคาดว่าจำนวนประชากรโลกจากปัจจุบัน 7,600 ล้านคนจะพุ่งเป็น 9,800 ล้านคนในปี ค.ศ. 2050 อีกด้วย นั่นหมายถึงความหลากหลายกำลังจะมีมากยิ่งขึ้นไปอีก

แล้วโลกของเราจะอยู่ท่ามกลางความหลากหลายนี้อย่างสันติอย่างไร?

 

เข้าใจ ‘ความหลากหลาย’ แตกต่างแต่เหมือนกัน

สะท้อนความหลากหลายของสังคม (Diversity) คือกระแสที่เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงปีที่แล้วจนถึงปีนี้ ไม่ว่าจะเป็นเทรนด์ติดโลกอย่าง #Metoo ที่เกิดขึ้นจากการที่นักแสดงหญิงโดนโปรดิวเซอร์ใหญ่แห่งวงการฮอลลีวูดคุกคามทางเพศ หรือประเด็นการปกป้องกลุ่มบุคคลผู้มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTIQ) จากการถูกเหยียด หรือสร้างความรังเกียจ ไปจนถึงความเป็นหพุสังคมของประเทศสิงคโปร์ ที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติและวัฒนธรรมของชาวจีน อินเดีย มาเลเซีย และชนชาติอื่น ๆ เหล่านี้เกิดขึ้นเพื่อลดช่องว่างของความขัดแย้ง และเพิ่มความเข้าใจในความหลากหลายให้มากยิ่งขึ้น

ความเข้าใจความหลากหลายเริ่มต้นขึ้นได้ง่าย ๆ ด้วยคำว่า ‘รับฟัง’ ‘พูดกัน’ และ ‘ร่วมมือ’

รับฟัง – เชื่อเถอะว่าการเริ่มต้นรับฟังอย่างตั้งใจด้วยวิธีการฟังอย่างลึกซึ้ง (deep listening) จะช่วยให้เราเข้าใจผู้อื่นมากยิ่งขึ้น ซึ่งการฟังอย่างลึกซึ้ง คือ รูปแบบการฟังโดยไม่ตัดสินความถูกผิดแต่แรก ไม่ฟังเสียงแห่งการตัดสินที่ดังก้องในหัว (voice of judgement) ไม่ตอบสนองแบบทันทีทันใด (reacting) ไม่พูดแทรก และรู้จักการปล่อยผ่าน (suspending) เสียบ้าง

พูดกัน – การพูดคุยกัน หรือชักชวนคนรอบตัวมาเปิดรับหาหนทางที่ในการอยู่ร่วมกันอย่างเข้าใจ เป็นอีกสิ่งที่ทำได้ง่าย ๆ เช่นเดียวกับการฟัง เพราะหลายครั้งความขัดแย้งที่เกิดขึ้น เป็นเพราะเราคุยกันไม่มากพอ หรือผู้เกี่ยวข้องยังไม่มีความหลากหลาย ดังนั้น เราจึงควรพูดคุยกันในระดับวงกว้างและให้มีความหลากหลายมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ให้ความสำคัญกับคนทุกเชื้อชาติ วัย เพศ ไปจนถึงทุกองค์กรที่มีความเห็นต่างกันก็ตาม เพราะจะทำให้เห็นความคิดที่หลากหลาย วัฒนธรรมที่แตกต่าง

ร่วมมือ – สร้างความร่วมมือระหว่างผู้คน ชุมชน องค์กร ไปจนถึงระดับประเทศ เพื่อช่วยกันหาวิธีเข้าใจความหลากหลาย และป้องกันไม่ให้เกิดความขัดแย้งผ่านการให้ความรู้ กิจกรรม ไปจนถึงนวัตกรรมต่าง ๆ โดยเฉพาะนวัตกรรมเพื่อสังคมที่ทุกคนสามารถร่วมกันแก้ปัญหาในระดับความร่วมมือได้

 

กรณีศึกษา : Teeter-Totter Wall 

‘ไม้กระดกสีชมพู’ เชื่อมพรมแดน สหรัฐฯ – เม็กซิโก

ย้อนกลับไปไม่กี่เดือน พรมแดนสหรัฐฯ – เม็กซิโก ถูกขีดเส้นแบ่งด้วยกำแพงตามนโยบายของทรัมป์เพื่อป้องกันคนหลบหนีเข้าเมือง ซึ่งพยายามใส่ทัศนคติผิด ๆ ว่าทุกวันมีผู้อพยพผิดกฏหมายหลายหมื่นคนเข้ามาแย่งงานคนอเมริกัน รวมถึงการขนส่งยาเสพติด การค้ามนุษย์ ไปจนถึงแก๊งอาชญากรรม สร้างภาพลักษณ์ให้ผู้อพยพระหว่างพรมแดนเม็กซิโกเป็นศัตรูทำลายความมั่นคงของชาติ กำแพงแบ่งแยกสหรัฐฯ – เม็กซิโก ทำให้เกิดประเด็นความขัดแย้งมากมายตามมา โดยเฉพาะการกีดกันเชื้อชาติในอเมริกาที่ทวีความรุนแรงขึ้นกว่าเดิม อีกทั้งยังเพิ่มความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม

แต่ความเป็นมนุษย์นั้นไม่อาจแบ่งแยกด้วยเชื้อชาติหรือกำแพงกั้น อย่างที่ศิลปิน และนักวิชาการจากหลายมหาวิทยาลัย ได้ร่วมกันสร้างโปรเจ็กต์ชื่อ ‘Teeter-Totter Wall’ หรือเครื่องเล่นไม้กระดกสีชมพูไปติดตั้งไว้บริเวณกำแพงซี่ ๆ ระหว่างพรมแดน เสมือนเป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์ของผู้คนสองพรมแดนผ่านการได้เล่นเครื่องเล่นง่าย ๆ นี้ด้วยกัน สร้างความสนุกสนาน ความอบอุ่น และเสียงหัวเราะที่ปราศจากอคติของอีกฝ่าย โดยที่มาของความหมายของไม้กระดก หมายถึง “กำแพงกลายมาเป็นชนวนในความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับเม็กซิโก ในขณะที่เด็กและผู้ใหญ่เชื่อมโยงกันด้วยวิธีที่มีความหมาย การกระทำที่เกิดขึ้นในด้านหนึ่งมีผลโดยตรงต่ออีกด้านหนึ่งเสมอ”

 

Youth Co:Lab

นอกจากวิธีสร้างความเข้าใจที่กล่าวไปข้างต้นแล้ว เยาวชนก็เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความเข้าใจในความหลากหลาย และช่วยกันแก้ปัญหาความขัดแย้งได้ผ่านโครงการ ‘Youth Co:Lab’ โครงการพัฒนาศักยภาพเยาวชนผ่านนวัตกรรมและการเป็นผู้ประกอบการของโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) ภายใต้ธีม ‘Embracing Diversity’  ชวนให้ทุกคนเคารพความแตกต่างและเปิดรับความหลากหลาย (respect the differences, embrace diversity)

ซึ่งโครงการนี้ จะเปิดให้เยาวชนได้มีโอกาสเข้าเวิร์กชอปเพื่อพัฒนาไอเดียของตัวเองให้เป็นจริง ได้พบปะกับผู้เชี่ยวชาญ และ innovator มากมาย พร้อมทั้งสามารถเสนอโครงการของตัวเอง (pitching) เข้าประกวด เพื่อรับเงินรางวัลไปต่อยอดความคิด รับสมัครเยาวชนตั้งแต่อายุ 18-29 ปี จับทีม 3-4  คน และสามารถร่วมส่งโครงการมาแก้ปัญหาด้วยกัน

โครงการ Youth Co:Lab 2019 กำลังจะเปิดรับสมัครแล้วในอีกไม่กี่วันนี้

ติดตามข่าวสารได้ที่ www.youthcolabthailand.org  และ เฟสบุ๊กThailand Social Innovation Platform Facebook

 

 

Sources:

– สหประชาชาติและธนาคารโลก 2018 “วิถีสู่สันติ: แนวทางครอบคลุมเพื่อป้องกันความขัดแย้งรุนแรง” บทสรุปผู้บริหาร ธนาคาร วอชิงตัน ดีซี. ใบอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์ ซีซีโดย 3.0 ไอจีโอ

https://www.worldometers.info/geography/how-many-countries-are-there-in-the-world/

-http://www.polsci.tu.ac.th/fileupload/39/58.pdf

Keywords: , , , , , , ,
Submit Project

There are many innovation platforms all over the world. What makes Thailand Social Innovation Platform unique is that we have created a Thai platform fully dedicated to the SDGs, where social innovators in Thailand can access a unique eco system of entrepreneurs, corporations, start-ups, universities, foundations, non-profits, investors, etc. This platform thus seeks to strengthen the social innovation ecosystem in Thailand in order to better be able to achieve the SDGs. Even though a lot of great work within the field of social innovation in Thailand is already happening, the area lacks a central organizing entity that can successfully engage and unify the disparate social innovation initiatives taking place in the country.

This innovation platform guides you through innovative projects in Thailand, which address the SDGs. It furthermore presents how these projects are addressing the SDGs.

Aside from mapping cutting-edge innovation in Thailand, this platform aims to help businesses, entrepreneurs, governments, students, universities, investors and others to connect with new partners, projects and markets to foster more partnerships for the SDGs and a greener and fairer world by 2030.

The ultimate goal of the platform is to create a space for people and businesses in Thailand with an interest in social innovation to visit on a regular basis whether they are looking for inspiration, new partnerships, ideas for school projects, or something else.

We are constantly on the lookout for more outstanding social innovation projects in Thailand. Please help us out and submit your own or your favorite solutions here

Read more

  • What are The Sustainable Development Goals?
  • UNDP and TSIP’s Principles Of Innovation
  • What are The Sustainable Development Goals?

Contact

United Nations Development Programme
12th Floor, United Nations Building
Rajdamnern Nok Avenue, Bangkok 10200, Thailand

Mail. info.thailand@undp.org
Tel. +66 (0)63 919 8779