เยาวชนเป็นวัยที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังและความคิดสร้างสรรค์ ในปัจจุบันเยาวชนมักถูกกล่าวถึงในมุมมองไม่ใช่เพียงแต่ “ผู้ได้รับผลประโยชน์” จากการพัฒนาที่ยั่งยืนเท่านั้น แต่ยังมีบทบาทเป็น “ผู้ขับเคลื่อน” การพัฒนาที่ยั่งยืนเช่นกัน โดยสิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้เยาวชนมีบทบาทในการเป็นผู้ขับเคลื่อนได้ คือการสร้างพื้นที่ ให้สังคมได้รับฟังเสียงของเยาวชน และให้พวกเขาได้แสดงศักยภาพในการสร้างการเปลี่ยนแปลงสังคมในแบบที่พวกเขาอยากเห็น โครงการ Youth Co:Lab จึงเป็นพื้นที่หนึ่งซึ่งเกิดขึ้นจากความตั้งใจที่จะสร้างการขับเคลื่อนสังคมจากระดับเยาวชน
Youth Co:Lab เป็นโครงการระดับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ดำเนินการโดยโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ ร่วมกับมูลนิธิซิตี้ โดยมีความตั้งใจที่จะพัฒนาศักยภาพเยาวชนในการเป็นนวัตกรและผู้ประกอบการเพื่อสังคม เพื่อให้เยาวชนมีบทบาทในการร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจ รวมไปถึงแก้ไขปัญหาสังคมในแบบที่ตนเองอยากเห็น ซึ่งได้ดำเนินโครงการมาเป็นปีที่ 3 แล้วในประเทศไทย
รูปแบบของโครงการ Youth Co:Lab ในประเทศไทย คือการเฟ้นหาไอเดียนวัตกรรมทางสังคมจากเยาวชนทั่วประเทศไทย และให้เยาวชนมาเข้าร่วมเวิร์กชอปเพื่อพัฒนาศักยภาพ ผ่านกระบวนการออกแบบโดยใช้มนุษย์เป็นศูนย์กลาง (Human-centered Design) รวมไปถึงเรียนรู้การพัฒนาแผนทางการเงินและธุรกิจเพื่อความยั่งยืน ก่อนจะนำเสนอโครงการต่อคณะกรรมการเพื่อชิงทุนในการนำไปพัฒนาโครงการให้เกิดขึ้นจริงในพื้นที่ของตนเอง โดยปีนี้ เรามาพร้อมกับความตั้งใจที่จะเข้าถึงเรื่องที่ยากและลึกขึ้นกว่าเดิม นั่นก็คือการทำให้เยาวชนกลุ่มเปราะบางเข้าใจและเข้าถึงปัญหาที่มีความซับซ้อน และสามารถนำแนวคิดนวัตกรรมสังคมไปใช้ในการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น
เราได้ตั้งคำถามว่า จะเป็นอย่างไรถ้าเราจะเลือกใช้โจทย์ที่มีความเป็นนามธรรมสูง การใช้กระบวนการทางนวัตกรรมจะทำให้ปัญหาเหล่านี้ถูกถ่ายทอดออกมาเป็นรูปธรรมได้มากขึ้นหรือไม่ และนี่คือหนึ่งในความตั้งใจของเราเมื่อตัดสินใจหยิบยกประเด็นปัญหาทางสังคมที่มีความซับซ้อนอย่างเช่น “การป้องกันความรุนแรงแบบสุดโต่ง การจัดการความขัดแย้ง และการลดความเหลื่อมล้ำ” มาเป็นแนวคิดคิดหลักของงาน
หากพูดถึงความรุนแรงแบบสุดโต่ง ความขัดแย้ง และความเหลื่อมล้ำ ดูจะเป็นประเด็นปัญหาที่สั่งสมมาจากมุมมองของคนที่ต่างกัน นำไปสู่ ‘การตัดสิน’ และ ‘การตีตรา’ ผู้อื่น การที่จะแก้ไขปัญหาเหล่านี้ จำเป็นต้องใช้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง โดยเริ่มจากการเปิดใจและยอมรับความหลากหลาย “การสร้างสังคมที่เคารพความแตกต่าง เปิดรับความหลากหลาย” จึงกลายเป็นโจทย์ของ Youth Co:Lab ในปีนี้ ซึ่งในบริบทของประเทศไทยเอง มีความหลากหลายในสังคมที่ทำให้เกิดการแบ่งแยกอยู่หลายมิติ ไม่ว่าจะเป็น เรื่องชาติพันธุ์ ศาสนา ความคิดเห็นทางการเมือง การเข้าถึงทรัพยากร ฯลฯ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการการเอาชนะ กดทับกลุ่มที่เห็นต่าง การต่อสู้ระหว่างกัน จนนำไปสู่ความเหลื่อมล้ำ และอาจพาไปถึงการใช้ความรุนแรงเพื่อยืนยันจุดยืนของตัวเองก็เป็นได้
เมื่อตั้งต้นโจทย์ด้วย “การเคารพความแตกต่าง เปิดรับความหลากหลาย” จึงจำเป็นอย่างมากที่กระบวนการทำงานของเราจะต้องสะท้อนคุณค่านี้ออกมาด้วย พวกเราจึงมีความตั้งใจมากในการเข้าถึงเยาวชนที่มีความหลากหลายให้ได้มากที่สุด และเราอยากให้เยาวชนที่กำลังประสบปัญหาโดยตรงเหล่านี้ เป็นผู้ที่ลุกขึ้นมาแสดงแนวคิดและส่งไอเดียนวัตกรรมสังคมเข้ามาด้วยตัวเอง เพราะเราเชื่อว่านวัตกรรมที่แก้ไขปัญหาได้จริง ต้องเกิดจากการเข้าใจรากของปัญหาอย่างลึกซึ้ง และ Youth Co:Lab เป็นโครงการที่จะช่วยพัฒนาขีดความสามารถในการสร้างนวัตกรรมให้กับเยาวชน หากเราพาเครื่องมือนี้ไปถึงกลุ่มเยาวชนที่อยู่ในปัญหา เขาอาจจะสามารถใช้ประโยชน์จากเครื่องมือในการสร้างการเปลี่ยนแปลงในพื้นที่ของเขาได้
ดังนั้นถึงแม้งาน Youth Co:Lab จะฟังดูเหมือนเป็นงานอีเวนต์ในระยะเวลาแค่ 3 วัน แต่จริง ๆ แล้วมันเป็นกระบวนการที่ถูกออกแบบและดำเนินการมาในระยะเวลาหลายเดือนเพื่อที่จะทำให้ Youth Co:Lab เป็นโครงการบ่มเพาะที่เข้าถึงเยาวชนทุกรูปแบบอย่างแท้จริง ซึ่งในบทความนี้จะมาถอดบทเรียนกระบวนการที่เกิดขึ้นโดยแบ่งออกเป็น 2 ช่วงคือ กระบวนการก่อนงาน และกระบวนการที่เกิดขึ้นระหว่างงาน Youth Co:Lab Thailand 2019
ก่อนจะถึงงาน Youth Co:Lab Thailand 2019
กิจกรรม Roadshow ในแต่ละภูมิภาคของประเทศไทย
เริ่มต้นด้วยการไป Roadshow ในภาคต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นภาคใต้ อีสาน และเหนือ โดยเราได้ทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์เพื่อขอคำแนะนำในการเข้าถึงเครือข่ายเยาวชนที่ทำงานเกี่ยวกับประเด็นสันติภาพ ความขัดแย้ง และความเหลื่อมล้ำในพื้นที่ ซึ่งรูปแบบของการจัด Roadshow ก็แตกต่างกันออกไปตามบริบทของแต่ละพื้นที่ เช่นในภาคใต้ เราเน้นการไปลงพื้นที่พบปะกลุ่มเยาวชนหลากหลายกลุ่มในพื้นที่องค์กรของเขาเอง ในภาคอีสาน เราไปจัดงานที่มหาวิทยาลัยเพื่อเข้าถึงกลุ่มนักศึกษาที่ขับเคลื่อนงานด้านสิทธิหรือพัฒนาสังคมผ่านกิจกรรมชมรม และในภาคเหนือ เราได้ประสานไปยังเครือข่ายเยาวชนชาติพันธุ์ เพื่อเข้าถึงเยาวชนจากหลากหลายชาติพันธุ์ของประเทศ
การปรับรูปแบบให้แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ ทำให้เราสามารถเข้าถึงกลุ่มเยาวชนตามบริบทของพื้นที่นั้น ๆ ได้อย่างเหมาะสม อย่างไรก็ตาม เนื้อหากิจกรรมใน Roadshow ก็ยังคงมีใจความเดียวกัน นั่นคือ การให้เยาวชนได้แบ่งปันและพูดคุยถึงความแตกต่างหลากหลายที่นำมาสู่สถานการณ์ต่าง ๆ ในพื้นที่ของตัวเอง การแนะนำแนวคิดนวัตกรรมสังคม และการให้คำปรึกษาน้อง ๆ ในการพัฒนาโครงการ
การได้ฟังประสบการณ์ของเยาวชนที่นำเรื่องราวมาแบ่งปันในระหว่าง Roadshow ให้เราเข้าใจถึงประเด็นปัญหาของความแตกต่างหลากหลายในบริบทของแต่ละพื้นที่อย่างลึกซึ้งมากขึ้น และเมื่อยิ่งได้ฟังเรื่องราวของน้อง ๆ ก็ยิ่งทำให้เรายิ่งรู้สึกมั่นใจมากขึ้นว่า เรากำลังเข้าถึงกลุ่มเยาวชนที่เรามองหาจริง ๆ นั่นคือ กลุ่มผู้ที่ประสบปัญหาด้วยตัวเอง และเรื่องราวของพวกเขาเหล่านี้ก็ไม่ได้ถูกหยิบยกมานำเสนอในสังคมวงกว้างเท่าไรนัก เช่น เรื่องราวของน้องเยาวชนชาติพันธุ์ที่เป็นคนไร้สัญชาติ กับความพยายามในขอสัญชาติมานานกว่า 11 ปี และยังคงต่อสู้ในกระบวนการเพื่อให้ได้มาซึ่งสัญชาติไทย หรือ น้องทีมฟุตบอลหญิงชาวมุสลิมที่แต่งตัวไม่ตรงตามหลักศาสนา เนื่องจากขาดความคล่องตัว ทำให้เกิดความไม่เข้าใจจากคนในพื้นที่ เป็นต้น เมื่อเราได้ลองใส่แว่นในมุมของเขาแล้ว ขั้นต่อไปคือการเชิญชวนให้เขาได้ลองใส่แว่นในมุมมองของเราบ้าง และนั่นก็คือการแนะนำให้เขารู้จักกับ “นวัตกรรมสังคม” น้อง ๆ หลายคนจะรู้สึกว่า นวัตกรรมเป็นเรื่องไกลตัว เพราะรู้สึกว่าเป็นเรื่องของเทคโนโลยีที่เขาไม่มีความรู้ เราจึงต้องเริ่มปูพื้นให้ความหมายของนวัตกรรมสังคม ว่าจริง ๆ แล้ว มันคือคือ “วิธีการใหม่ ๆ ในการแก้ปัญหาเดิม ๆ” ซึ่งบางอย่างก็อาจจะเป็นเรื่องที่พวกเขากำลังทดลองทำกันอยู่ก็เป็นได้ โดยเราได้ยกตัวอย่างนวัตกรรมสังคมจากหลากหลายประเทศมาประกอบเพื่อให้น้อง ๆ เห็นภาพมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม แม้จะเริ่มเห็นภาพชัดเจนขึ้นแล้ว คำถามที่เรายังได้ยินจากปากน้อง ๆ ทุกภาค คือ “แล้วโครงการของหนูจะดีพอไปสู่กับภาคอื่น ๆ เหรอพี่” ซึ่งทุกครั้งเราก็จะยิ้มแล้วบอกน้องว่า “การที่น้องเป็นคนที่อยู่ในปัญหาแล้วลุกขึ้นมาแก้ปัญหาด้วยตัวเอง นั่นทำให้น้องเป็นผู้เชี่ยวชาญที่สุดแล้ว เพราะเราย่อมเข้าใจปัญหาของเราได้ดีที่สุด” คำถามที่เกิดขึ้นเหล่านี้สะท้อนถึงความไม่มั่นใจในตัวเองของเยาวชน ในขณะที่เราเองก็อยากให้น้อง ๆ เห็นสิ่งที่เรามองเห็นเช่นกันว่า พวกเขามีความกล้าหาญและมีศักยภาพมากแค่ไหน สุดท้ายแล้ว เราจึงช่วยเพิ่มความมั่นใจด้วยการเปิดโอกาสสำหรับการปรึกษาโครงการว่า ตอนนี้มีโครงการอะไรที่น้อง ๆ อยากทำหรือกำลังทำอยู่บ้าง และควรไปทำการบ้านพัฒนาเพิ่มเติมอย่างไรเพื่อจะสมัครเข้าร่วม Youth Co:Lab ได้
เมื่อเสร็จสิ้นการ Roadshow และปิดรับสมัครส่งโครงการ เราจึงดีใจมากที่ได้เห็นน้อง ๆ ที่เราไปพบหลาย ๆ คนก้าวข้ามความกลัวของตัวเอง และตัดสินใจส่งโครงการมาเข้าประกวดในครั้งนี้
การบ้านในการเตรียมตัวของผู้เข้าร่วมงาน
เนื่องจากระยะเวลาในงาน Youth Co:Lab นั้นค่อนข้างสั้น การจะพัฒนาและเปลี่ยนแปลงโครงการให้ดีขึ้นภายในระยะเวลา 3 วัน เป็นสิ่งที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องมีกระบวนการให้ผู้เข้าร่วมไปทำการบ้านมาก่อน แม้ว่าโครงการที่ส่งเข้ามาจะอยู่ในระยะที่ต่างกัน บางโครงการอยู่ในระยะริเริ่มไอเดีย ในขณะที่บางโครงการอาจจะมีการทำ Prototype หรือนำผลิตภัณฑ์ตัวเองออกสู่ตลาดแล้ว อย่างไรก็ตาม เรารู้สึกว่าสิ่งหนึ่งที่ทุกทีมไม่ว่าจะอยู่ในระยะใดต้องมีคำตอบที่ชัดเจนเพื่อจะไปต่อกับโครงการได้จริง คือ การทำความเข้าใจผู้ใช้หรือผู้ที่เราต้องการจะแก้ไขปัญหาให้ ดังนั้น เราจึงให้การบ้านกับแต่ละทีมที่ผ่านเข้ารอบไปสัมภาษณ์ผู้ได้รับผลประโยชน์และผู้ที่เกี่ยวข้อง แล้วนำข้อมูลเหล่านั้นมาวิเคราะห์ เรียบเรียงไปคู่กับเป้าหมายที่แต่ละทีมอยากเห็นในอนาคต ผ่านเครื่องมือ “ทฤษฎีการเปลี่ยนแปลง (Theory of Change)” เพื่อเป็นการทบทวนเจตจำนงในการทำโครงการก่อนมาเข้าร่วมงาน
ทั้งนี้ การบ้านที่กล่าวมาก็เป็นกระบวนการที่น้อง ๆ จะได้ลองผิดลองถูก ทำความเข้าใจกับบริบทของปัญหา และตรวจสอบความเป็นไปได้หรือความถูกต้องของสมมติฐานในการแก้ไขปัญหาที่คิดขึ้น เราไม่ได้คาดหวังว่าทุกทีมจะต้องมาพร้อมกับคำตอบที่ชัดเจน ถูกต้อง เพราะท้ายที่สุดแล้ว กระบวนการในการสร้างนวัตกรรมทางสังคมก็เป็นกระบวนการที่ต้องมีการทำซ้ำและพัฒนาไปเรื่อย ๆ ดังนั้นจุดประสงค์ของการทำการบ้านนี้จึงเป็นไปเพื่อให้น้อง ๆ ได้ออกมาจากวิธีการคิดเดิม ๆ รู้จักมองผู้ใช้เป็นศูนย์กลาง และลองทำความคุ้นเคยกับเครื่องมือดูก่อนเข้าร่วมโครงการ
สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างงาน Youth Co:Lab Thailand 2019
มิตรภาพ
จุดประสงค์ของงาน Youth Co:Lab ไม่ใช่เพียงการแข่งขันหาผู้ชนะที่จะได้เงินรางวัลในการไปต่อ แต่เป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ของเยาวชนที่มีความเชื่อและความตั้งใจในการแก้ปัญหาสังคมมาเรียนรู้ร่วมกัน ทำให้เกิดเครือข่ายเยาวชนที่เข้มแข็ง เพื่อไปเป็นผู้เปลี่ยนแปลงสังคมในพื้นที่ของตัวเองต่อไป ดังนั้นเราจึงให้ความสำคัญกับการสร้างพื้นที่ให้ผู้เข้าร่วมได้สร้างความสัมพันธ์และเรียนรู้ตัวตนของกันและกันด้วยความเคารพในความแตกต่าง และเปิดรับความหลากหลาย กิจกรรมในคืนแรกของงานจึงเน้นไปที่การผ่อนคลายให้ทุกคนได้ทำความรู้จักกัน แต่ก็ยังแฝงการปูพื้นแนวคิดเรื่องเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนและนวัตกรรมสังคมเข้าไป
เราแบ่งกิจกรรมออกเป็น 3 ส่วน คือ
1) การเรียนรู้เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนผ่านกรณีศึกษานวัตกรรมสังคมในประเทศไทยและต่างประเทศ โดยได้นำเนื้อหามาสื่อสารผ่านการเล่นเจงก้ายักษ์ ซึ่งต้องเล่นกันเป็นทีมด้วยความสามัคคี ทำให้เยาวชนจากต่างกลุ่มได้รู้จักกันมากขึ้น
2) การแบ่งปันประสบการณ์ ทั้งอุปสรรค ความท้าทาย และความสำเร็จของเยาวชนผู้มาเป็นวิทยากร จากภาคเหนือ กลาง และใต้ ที่กำลังขับเคลื่อนให้เกิดนวัตกรรมสังคมเพื่อสันติภาพ พร้อมรับประทานอาหารและเปิดโอกาสให้น้อง ๆ ผู้เข้าร่วมได้สังสรรค์ และแลกเปลี่ยนพูดคุยกัน
3) การทำความรู้จักตัวตนของเพื่อน ๆ ผ่านการเล่นเกม เช่น I am… but I am not… ซึ่งเป็นบัตรชวนพูดคุยในมื้ออาหาร หรือ Common Ground หาจุดร่วมและจุดต่างของแต่ละคน เพื่อสร้างความสนิทสนม ชวนให้ผู้เข้าร่วมได้เปิดเผยตัวตน และทำความเข้าใจในความหลากหลายของทุก ๆ คน
การสร้างพื้นที่ปลอดภัย
การทำความรู้จักสร้างสัมพันธ์ในคืนแรกถือเป็นประตูบานแรกสำหรับการเปิดรับความแตกต่างระหว่างกัน อย่างไรก็ตาม การสร้างให้มีพื้นที่ปลอดภัยก่อนเข้าสู่เนื้อหาของการเวิร์กชอปที่เข้มข้นก็เป็นเรื่องสำคัญ วิธีการของเราเริ่มต้นด้วยการเช็คความรู้สึกและความคาดหวังของผู้เข้าร่วม ให้น้อง ๆ ได้เท “ความกลัว” และความรู้สึกกดดันต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้นในงานออกมา ซึ่งการได้เปิดใจต่อความกลัวนี้ ทำให้ผู้เข้าร่วมรู้สึกเชื่อมโยงกันผ่านการเข้าใจธรรมชาติของอารมณ์มนุษย์ พร้อมกับปรับความเข้าใจใหม่ว่า พื้นที่ในสามวันนี้จะเป็นพื้นที่สำหรับการเรียนรู้ร่วมกัน เพื่อเป็นประโยชน์ในการพัฒนาศักยภาพและโครงการของทุกคน
การสร้างพื้นที่ปลอดภัยนี้ ไม่เพียงเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นในช่วงแรกของกิจกรรมเท่านั้น บทบาทของกระบวนกรไม่ได้เป็นแค่ผู้ออกแบบกระบวนการและให้ความรู้ แต่ยังต้องเป็นคนที่คอยเช็คและรับรู้ถึงความรู้สึกของผู้เข้าร่วมในระหว่างทาง หากสัมผัสได้ถึงสภาวะบีบคั้นหรือกังวล ก็อาจต้องพักจากบทเรียนชั่วคราว แล้วกลับมาเทความกังวลหรือแบ่งปันความรู้สึกกันอีกรอบ เพื่อให้การเรียนรู้ของผู้เข้าร่วมไปต่อได้อย่างสมดุล
ทำความเข้าใจที่มาของปัญหาอย่างลึกซึ้ง
เวลาเกือบครึ่งของการเวิร์กชอปถูกใช้ไปกับการให้แต่ละทีมได้ทบทวนที่มาของปัญหาที่ต้องการจะแก้ไข ตั้งแต่การทำความเข้าใจภาพรวมจากปัญหาไปสู่วิธีแก้ไขอย่างยั่งยืนผ่านทฤษฎีการเปลี่ยนแปลง (Theory of Change) และการกลับไปขุดรากลึกของปัญหาผ่านการคิดอย่างเป็นระบบด้วยโมเดลภูเขาน้ำแข็ง ( Iceberg Model) เพื่อให้ผู้เข้าร่วมได้เข้าใจเหตุที่ลึกขึ้นของปรากฏการณ์ที่เห็นผิวเผิน เช่น พฤติกรรมที่เกิดขึ้น ระบบที่ทำให้เกิดพฤติกรรมนั้น และแนวคิด ความเชื่อ หรือค่านิยมที่มีอิทธิพลต่อเหตุการณ์นั้น ๆ การใช้เวลาในการทำความเข้าใจปัญหาอย่างลึกซึ้งไม่เพียงแต่ช่วยให้แต่ละทีมมีความชัดเจนในการพัฒนาไอเดียการแก้ไขให้ตรงจุดมากขึ้น แต่ยังช่วยทำให้ผู้เข้ารู้สึกเชื่อมโยงกัน เนื่องด้วยปัญหาได้สะท้อนให้เห็นว่า ถึงแม้ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละพื้นที่จะมีรูปแบบต่างกัน แต่พวกเราทั้งหมดกำลังร่วมกันแก้ไขปัญหาในรากเหง้าเดียวกัน นั่นคือ “การมองคนไม่เท่ากัน” การเข้าใจปัญหาหาในมิติที่เชื่อมโยงกันได้ช่วยลดกำแพงในการแข่งขัน ขับเคลื่อนมิตรภาพ และทำให้เกิดการเปิดใจและสร้างกำลังใจให้เยาวชนทุกคนรู้สึกว่า “เราไม่ได้กำลังแก้ไขปัญหาที่ใหญ่และยากนี้อยู่คนเดียว”
การพัฒนาโครงการผ่านการแลกเปลี่ยนมุมมองกันระหว่างผู้เข้าร่วมโครงการ
รูปแบบกระบวนการที่เราใช้เพื่อพัฒนาศักยภาพและโครงการของทุกกลุ่มเป็นในลักษณะของการเรียนรู้จากเพื่อน (Peer-to-Peer learning) ซึ่งเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในทุกขั้นตอนของการเวิร์กชอป โดยผู้เข้าร่วมมีโอกาสทั้งได้นำเสนอโครงการให้เพื่อน ๆ ฟังและเป็นคนให้ข้อเสนอแนะ กระบวนการสะท้อนและให้ข้อแนะนำระหว่างกันที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ ทำให้ทุกคนได้มีโอกาสถอยออกมาจากประเด็นปัญหาของตัวเอง มาลองมองปัญหามุมอื่น ๆ และขยายมุมมองทางความคิด ซึ่งอาจทำให้เกิดประโยชน์ในการนำกลับมาวิเคราะห์เพื่อพัฒนาโครงการของตัวเองต่อไป ทั้งนี้กระบวนการนี้ยังช่วยย้ำใจความสำคัญของงานอีกด้วยว่า ปัญหาเหล่านี้เป็นปัญหาของทุกคนที่ต้องร่วมกันแก้ไข เราจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสังคมได้หากเราโฟกัสอยู่ที่จุดของเราแค่เพียงจุดเดียว และพื้นที่ตรงนี้เป็นพื้นที่ที่เราต้องมาสร้างความร่วมมือกันในการเปลี่ยนแปลง มากกว่าการแข่งขันเพื่อเอาชนะ
การพูดคุยกับเมนเทอร์
ในใบรับสมัครเข้าร่วมโครงการ จะมีการถามแต่ละทีมว่ายังต้องการองค์ความรู้หรือคำแนะนำด้านไหนในการต่อยอดโครงการอีกหรือไม่ เพราะเราเชื่อว่าการได้มาพบกับผู้เชี่ยวชาญด้านอื่น ๆ จะช่วยเสริมสร้างและผนึกองค์ความรู้ทำให้การพัฒนาโครงการมีความยั่งยืนมากขึ้น ในงานนี้เราจึงได้รวบรวมผู้เชี่ยวชาญตามคำขอของน้อง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจ การสร้างความร่วมมือ กฎหมาย สื่อ การออกแบบกระบวนการเรียนรู้ การขับเคลื่อนงานสันติภาพ สร้างการมีส่วนร่วมในกระบวนการประชาธิปไตย เทคโนโลยี และการใช้เกมเป็นเครื่องมือในการออกแบบประสบการณ์ผู้ใช้ มาช่วยให้คำปรึกษาอย่างสร้างสรรค์ การปรึกษาและพูดคุยนี้ถือเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่เกิดจากการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ของบุคคลที่ช่วยกันต่อยอดให้ไอเดียให้เข้าใกล้ความจริงมากขึ้น
การออกแบบเรื่องเล่าเพื่อนำเสนอโครงการ
ส่วนสุดท้ายที่มีความสำคัญไม่แพ้ส่วนอื่น ๆ คือการออกแบบการเล่าเรื่องเพื่อนำเสนอโครงการ โดยไม่ใช่เพียงเพื่อให้ได้เงินรางวัลเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่นี่เป็นโอกาสที่สำคัญที่เยาวชนได้มีโอกาสส่งเสียงบอกผู้คนให้ได้รับรู้ถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในพื้นที่ของเขาที่คนภายนอกอาจจะไม่ทราบมาก่อน และยังเป็นพื้นที่แสดงพลังความตั้งใจของเยาวชนในการสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในพื้นที่ของตัวเองอีกด้วย ถึงแม้ว่าเราจะสอนวิธีการนำเสนอ (pitch) ที่ดี มีโครงสร้างตัวอย่างที่มีประสิทธิภาพที่วิเคราะห์มาจากหลายเวที แต่เราก็เน้นย้ำเสมอว่า ถ้าน้อง ๆ ไม่เห็นด้วยกับตัวอย่างที่ให้ไป ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำตาม สิ่งสำคัญที่สุดคือการที่น้อง ๆ ได้เล่าเรื่องที่อยากจะเล่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งประสบการณ์ตรงของตัวเองที่ทำให้ริเริ่มทำนวัตกรรมสังคมนี้ขึ้นมา ซึ่งจะทำให้คนในสังคมเกิดความตระหนักรู้และมาร่วมแรงร่วมใจกันแก้ปัญหามากขึ้น สิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญในฐานะนักเปลี่ยนแปลงสังคมที่เยาวชนทุกคนสามารถทำได้ทันที
จะเห็นได้ว่าภายใต้แนวคิดการออกแบบกระบวนการทั้งหมดที่เกิดขึ้นในโครงการ Youth Co:Lab Thailand 2019 การแข่งขันประกวดนวัตกรรมเป็นเพียงประตูชั้นแรกสุดที่เชิญชวนทุก ๆ คนมาเข้าร่วมเท่านั้น หัวใจที่สำคัญที่สุดของงาน คือ “การสร้างพื้นที่สำหรับสร้างความร่วมมือระหว่างเยาวชนในการเปลี่ยนแปลงสังคม” ซึ่งมีความหมายตรงกับคำว่า Youth (เยาวชน) Co (ร่วมมือ) Lab (การทดลองสิ่งใหม่ ๆ ) และเราก็ได้เห็นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นตามที่ได้ตั้งความหวังไว้ นั่นคือ ความสัมพันธ์ที่เหนียวแน่นของน้อง ๆ และความมุ่งมั่นในการตั้งใจแก้ปัญหาสังคมเพื่อสันติภาพที่ยั่งยืนในพื้นที่ตัวเอง เราได้ยินเสียงน้อง ๆ ส่งเสียงเชียร์เพื่อนทีมอื่น ๆ ในช่วงนำเสนอโครงการ ได้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนต่างภาคที่ยังคงมาบอกเล่าความเป็นไปในชีวิตหลังจากกลับบ้านไปแล้ว รวมไปถึงได้เห็นการชวนกันรวมกลุ่มเพื่อทำโครงการใหม่ ๆ ระหว่างภาค สิ่งเหล่านี้คือตัวชี้วัดความสำเร็จของโครงการว่า การแข่งขันบนบรรยากาศแห่งความร่วมมือนั้นเกิดขึ้นได้จริง และแน่นอนว่าปัญหาที่ใหญ่และซับซ้อนอย่าง “การสร้างสันติภาพ” มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องใช้รูปแบบการสร้างความร่วมมือนี้ในการขับเคลื่อนการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน
สุดท้ายนี้ Thailand Social Innovation Platform ภายใต้โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติขอขอบคุณพาร์ทเนอร์จากทุกภาคส่วนที่มาร่วมสร้างสรรค์ให้งาน Youth Co:Lab ประเทศไทยในปีนี้เกิดขึ้นได้อย่างสมบูรณ์ ไม่ว่าจะเป็น
-มูลนิธิซิตี้ ผู้สนับสนุนหลักระดับภูมิภาค
-คณะผู้แทนสหภาพยุโรปประจำประเทศไทย สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ สายการบินแอร์เอเชีย ผู้สนับสนุนในการจัดงาน
-สภาความมั่นคงแห่งชาติแห่งชาติ ที่ให้เกียรติมาเป็นกรรมการพิเศษ
-สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย ผู้ร่วมจัดกระบวนการ
-เมนเทอร์ทุกท่านที่เต็มใจมาให้คำปรึกษาน้อง ๆ อย่างทุ่มเท
-คุณวรรณสิงห์ ประเสริฐกุล ที่ร่วมเป็นทูตประชาสัมพันธ์การจัดงาน Youth Co:Lab Thailand 2019
-และที่สำคัญที่สุด น้องๆ ผู้เข้าร่วมโครงการ Youth Co:Lab Thailand 2019 สำหรับความตั้งใจและความทุ่มเท